ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ระบุเมื่อวันพฤหัสบดี (14 มี.ค.) ว่า ยูเอส สตีล คอร์ป (US Steel Corp) จะต้องเป็นบริษัทที่มีอเมริกันชนเป็นเจ้าของเท่านั้น ซึ่งถือเป็นการคัดค้านอย่างเปิดเผยครั้งแรกของไบเดน หลังจากที่ยูเอส สตีล ได้ทำข้อตกลงขายกิจการให้บริษัท นิปปอน สตีล (Nippon Steel) ของญี่ปุ่นด้วยวงเงินสูงถึง 14,900 ล้านดอลลาร์
ไบเดน แถลงว่า “ยูเอส สตีล เป็นบริษัทเหล็กกล้าที่อยู่คู่กับอเมริกามานานกว่า 100 ปี และจำเป็นอย่างยิ่งที่มันจะต้องเป็นบริษัทเหล็กกล้าของอเมริกันที่ดำเนินงานและเป็นเจ้าของโดยชาวอเมริกันต่อไป”
อย่างไรก็ดี ยังไม่ชัดเจนว่า ไบเดน จะใช้อำนาจตามกฎหมายยับยั้งข้อตกลงขายกิจการครั้งนี้หรือไม่ ขณะที่คณะกรรมการเพื่อการลงทุนต่างประเทศของสหรัฐฯ (CFIUS) ซึ่งมีหน้าที่พิจารณาทบทวนการลงทุนของต่างชาติในบริษัทของอเมริกา มีอำนาจที่จะเสนอให้ยับยั้งข้อตกลงนี้ด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติได้
ทำเนียบขาวแถลงเมื่อเดือน ธ.ค. ว่า ข้อเสนอขายกิจการยูเอส สตีล จำเป็นต้องผ่าน “การไตร่ตรองอย่างรอบคอบ” เนื่องจากบริษัทแห่งนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมผลิตเหล็กกล้าซึ่งมีผลต่อความมั่นคงของประเทศ
ด้าน นิปปอน สตีล ได้ออกคำชี้แจงเมื่อวันพฤหัสบดี (14) ว่า การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ “จะให้ประโยชน์อย่างชัดเจนทั้งต่อยูเอส สตีล สหภาพแรงงาน อุตสาหกรรมเหล็กกล้าของสหรัฐฯ รวมถึงความมั่นคงของสหรัฐฯ เองด้วย”
“เราจะยังเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามกฎหมาย รวมถึงโดย CFIUS ขณะเดียวกัน ก็เชื่อมั่นในหลักนิติธรรมและกระบวนการยุติธรรมที่เราคาดหวังจะได้จากรัฐบาลสหรัฐฯ เราหวังอย่างยิ่งว่าข้อตกลงนี้จะผ่านการพิจารณาและดำเนินการเสร็จสิ้นอย่างสมบูรณ์”
นิปปอน สตีล เคยแถลงก่อนหน้านี้ว่า จะไม่มีการปลดพนักงานหรือปิดโรงงานจนกว่าจะถึงเดือน ก.ย. ปี 2026 ภายใต้บริบทบางประการ ทว่าต่อมาได้ปรับคำแถลงใหม่ว่า จะไม่มีการปลดพนักงานหรือปิดโรงงานจากผลของการซื้อกิจการครั้งนี้อย่างแน่นอน
ความกังวลเรื่อง ไบเดน จะไม่เห็นชอบข้อตกลงขายกิจการส่งผลให้ราคาหุ้นยูเอส สตีล ดิ่งลงถึง 18% ภายในระยะเวลา 2 วัน มาอยู่ที่ 38.26 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อวันพฤหัสบดี (14) ซึ่งต่ำกว่าราคา 55 ดอลลาร์สหรัฐต่อหุ้นที่ระบุไว้ในข้อตกลงกับนิปปอน สตีล
ที่มา : รอยเตอร์


