ทั้ง “ไบเดน” และ “ทรัมป์” ต่างกวาดชัยชนะเกือบทั้งหมดในการหยั่งเสียง “ซูเปอร์ทิวส์เดย์” ในกว่า 10 รัฐทั่วอเมริกาเมื่อวันอังคาร (5 มี.ค.) แล้วล่าสุด นิกกี้ เฮลีย์ คู่แข่งในพรรครีพับลิกันเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ของทรัมป์ ยังประกาศยอมถอนตัวแล้ว ทำให้แทบจะเป็นการแน่นอนแล้วว่า การเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯในต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ จะเป็นศึกล้างตาระหว่างสองแคนดิเดตเฒ่าซึ่งยังคงมีคะแนนนิยมเหนือกว่าคนอื่นๆ ในพรรคตัวเอง ถึงแม้ไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชมปลาบปลื้มของผู้มีสิทธิออกเสียง
ใน “วันซูเปอร์ทิวสเดย์” คราวนี้ ซึ่งรีพับลิกันจัดการหยั่งเสียงเพื่อคัดเลือกผู้ที่จะเป็นตัวแทนพรรคลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีปลายปีนี้ ใน 15 รัฐนั้น ปรากฏว่าอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะไปได้ถึง14 รัฐ โดยรวมถึงรัฐที่มีจำนวนผู้แทนพรรคมาก ๆ อย่างแคลิฟอร์เนียและเทกซัส ขณะที่คู่แข่งที่ยังเหลืออยู่เพียงคนเดียวคือ นิกกี้ เฮลีย์ อดีตเอกอัครราชทูตประจำสหประชาชาติ ได้ชัยชนะเพียงรัฐเดียวคือเวอร์มอนต์
แม้การหยั่งเสียงที่ทำกันในแต่ละรัฐจะมีกติการายละเอียดที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่ผู้สมัครแต่ละคนต้องการได้มามากที่สุดจากแต่ละรัฐคือจำนวนผู้แทนพรรค ซึ่งจะไปเข้าร่วมการประชุมใหญ่ของพรรคในช่วงประมาณกลางปีนี้เพื่อโหวตผู้ที่สมควรเป็นตัวแทนของพรรคลงชิงทำเนียบขาวอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้เฉพาะวันซูเปอร์ทิวสเดย์ ทางรีพับลิกันมีผู้แทนพรรคให้ผู้สมัครแย่งชิงกันรวมแล้วกว่า 1 ใน 3 ทีเดียว ดังนั้นการที่ทรัมป์กวาดชัยชนะไปอย่างมโหฬาร จึงหมายความว่าเขามีจำนวนตัวแทนอยู่ในมือเกือบจะเพียงพอแล้วสำหรับการได้เป็นตัวแทนรีพับลิกันลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ถึงแม้ว่าเวลานี้เขาตกเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาอุกฉกรรจ์หลายคดีก็ตามที
ทางด้านประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยิ่งชนะอย่างสบายในการหยั่งเสียงเพื่อเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตเข้าชิงทำเนียบขาวอีกสมัย ถึงแม้เขาเผชิญการโหวตประท้วงในรัฐมินเนโซตา ตลอดจนอีก 6 รัฐที่จัดโดยพวกนักกิจกรรมซึ่งไม่พอใจที่ไบเดนยืนกรานสนับสนุนอิสราเอลในสงครามกับฮามาสก็ตาม
จากข้อมูลของเอดิสัน รีเสิร์ช การลงคะแนนโดยไม่เลือกผู้สมัครรายใด (uncommitted vote) ในมินเนโซตาอยู่ที่ 19% ขณะที่นับคะแนนไปเกือบ 90% ตัวเลขนี้ถือว่าสูงกว่าที่มิชิแกนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเสียอีก โดยที่นั่นมีผู้ลงคะแนนโดยไม่เลือกผู้สมัครรายใด 13%
อย่างไรก็ดี โดยภาพรวมแล้ว วันซูเปอร์ทิวสเดย์คราวนี้ของทางพรรคเดโมแครต ไบเดนยังคงเป็นผู้ชนะการหยั่งเสียงในมินเนโซตาและอีก 14 รัฐ รวมถึงการลงคะแนนทางไปรษณีย์ในไอโอวาที่สิ้นสุดลงเมื่อวันอังคาร เขาพ่ายแพ้เพียงที่เดียวคือ ดินแดนอเมริกันซามัว ซึ่งมิได้มีฐานะเป็นรัฐหนึ่งของสหรัฐฯด้วยซ้ำ โดยแพ้ให้แก่ เจสัน พาล์มเมอร์ ผู้ประกอบการซึ่งไม่เป็นที่รู้จักก่อนหน้านี้ ด้วยคะแนน 40 ต่อ 51
หลังจากผลนับคะแนนการหยั่งเสียงในวันอังคาร ออกมาค่อนข้างชัดเจนแล้ว ทั้งทรัมป์และไบเดนต่างก็หันกลับมาโจมตีกันและกัน โดยสำหรับทรัมป์นั้น ระหว่างการฉลองชัยชนะร่วมกับเหล่าผู้สนับสนุนที่รีสอร์ท มาร์-อา-ลาโก รัฐฟลอริดาของเขา ทรัมป์พุ่งเป้าโจมตีนโยบายคนเข้าเมือง และวิจารณ์ว่า ไบเดนเป็นประธานาธิบดีที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
ด้านไบเดนซึ่งมิได้มีการจัดงานฉลอง ได้ออกคำแถลงเตือนว่า ทรัมป์เป็นภัยคุกคามประชาธิปไตยของอเมริกา เป็นคนที่หมกมุ่นกับการแก้แค้นส่วนตัวมากกว่าสนใจคนอเมริกัน
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนมีคนอเมริกันจำนวนมากที่ไม่ได้ปลาบปลื้นต้องการเห็นศึกล้างตาครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 1956 ครั้งนี้ โดยผลสำรวจความคิดเห็นพบว่า ทั้งไบเดน วัย 81 ปี และทรัมป์ วัย 77 ปี ต่างมีคะแนนนิยมต่ำในหมู่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง
ทรัมป์นั้นมีกำหนดที่จะต้องเดินทางไปขึ้นศาล ซึ่งเริ่มการไต่สวนคดีที่เขาถูกฟ้องร้องว่าปลอมแปลงเอกสารบันทึกทางธุรกิจและการจ่ายค่าปิดปากเพื่อให้นักแสดงหนังปลุกใจปกปิดความสัมพันธ์ลับระหว่างลงสมัครรับเลือกตั้งเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ณ ศาลในนิวยอร์กวันที่ 25 เดือนนี้ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังถูกฟ้องร้องที่ศาลแห่งอื่นๆ ในคดีแทรกแซงการเลือกตั้งที่รัฐจอร์เจียและศาลของรัฐบาลกลาง ตลอดจนถูกรัฐบาลกลางฟ้องร้องคดีครอบครองเอกสารลับหลังพ้นตำแหน่ง
นอกจากนั้นทรัมป์ในขณะนี้แม้อายุยังน้อยกว่าไบเดน 4 ปี แต่ก็มีอาการหลงๆ ลืมๆ เช่นเดียวกับไบเดน เช่นเมื่อเร็วๆ นี้ที่เขาบอกว่า กำลังแข่งขันกับบารัค โอบามา อดีตประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตที่พ้นตำแหน่งไปตั้งแต่ปี 2017
สำหรับไบเดนซึ่งเป็นประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ผลโพลล่าสุดระบุว่า คนอเมริกันวัยผู้ใหญ่ 6 ใน 10 คนทีเดียวสงสัยข้องใจว่าเขายังมีความจำและสติปัญญาเหมาะสมแก่การเป็นประธานาธิบดีหรือไม่
ในอีกด้านหนึ่ง ผลการหยั่งเสียงซูเปอร์ทิวสเดย์ กลายเป็นการเพิ่มความกดดันให้เฮลีย์ถอนตัวจากการแข่งขัน โดยปรากฏว่าในวันดังกล่าว อดีตผู้ว่าการรัฐเซาท์แคโรไลนาผู้นี้ไม่ได้ปรากฏตัวต่อสาธารณชน และทีมหาเสียงไม่มีกำหนดทำกิจกรรมใดๆ
ล่าสุด ในวันพุธ (6) เฮลีย์ประกาศถอนตัวออกจากการแข่งขันแล้ว อย่างไรก็ตาม เธอไม่ยอมหันมาประกาศสนับสนุนทรัมป์ ตรงกันข้ามเธอท้าทายว่าทรัมป์จะต้องเป็นผู้ลงมือใช้ความพยายามเพื่อเอาชนะใจชาวรีพับลิกันแนวคิดสายกลาง ตลอดจนพวกผู้มีสิทธิออกเสียงอิสระ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ให้การสนับสนุนเธอ
(ที่มา: เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)