เอเจนซีส์ - รัฐบาลเฮติคืนวันอาทิตย์ (3 มี.ค.) สั่งภาวะฉุกเฉิน 72 ชม.ด่วน และมาตรการเคอร์ฟิวกลางคืนเพื่อทำให้กรุงปอร์โตแปรงซ์กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง หลังเกิดความรุนแรงขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ จิมมี เชริซิเยร์ (Jimmy Cherizier) ผู้นำแก๊งมาเฟียเฟดเดอเรชัน อดีตบิ๊กตำรวจเฮติชื่อดังฉายา “บาร์บีคิว” สั่งยกระดับประกาศเป้าหมายจับตัวผู้บัญชาการตำรวจเฮติ และรัฐมนตรีเฮติหวังเพื่อโค่นล้มนายกรัฐมนตรี แอเรียล อองรี ช่วยปล่อยตัวนักโทษกว่า 3,500 รายใน 2 เรือนจำใหญ่กลางเมืองหลวง มีนักโทษเสียชีวิต
เดอะการ์เดียนของอังกฤษรายงานวันนี้ (4 มี.ค.) ว่า ความไม่สงบไปทั่วประเทศเฮติที่ยากจนกลางทะเลแคริบเบียนเมื่อช่วงสุดสัปดาห์นี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ผู้นำเคนยาพยายามที่จะล้มดีลที่ได้รับการสนับสนุนจากยูเอ็น และสหรัฐฯ ในการส่งกองกำลังความมั่นคงเคนยาไปเฮติ
ทั้งนี้ คำสั่งประกาศภาวะฉุกเฉินที่ออกมาคืนวันอาทิตย์ (3) มีผลครอบคลุม 72 ชม.ได้รับการบังคับใช้ทันที รัฐบาลเฮติแถลงความจำเป็นเพื่อใช้ช่วงเวลาดังกล่าวนำกลุ่มนักโทษแหกคุกที่มีทั้งนักฆ่า พวกแก๊งลักพาตัว และอื่นๆ กลับคืนมา
รัฐมนตรีคลังเฮติ แพทริค บัวส์แวร์ต์ (Patrick Boivert) ระหว่างนี้ทำหน้าที่รักษาการนายกรัฐมนตรีเฮติ ระหว่างที่ผู้นำอยู่ในต่างแดนได้ประกาศผ่านแถลงการณ์มีใจความว่า “ตำรวจเฮติได้รับคำสั่งให้ใช้ทุกมาตรการทางกฎหมายเพื่อบังคับใช้คำสั่งเคอร์ฟิว และจับกุมผู้ฝ่าฝืนทุกคน"
เหตุการณ์เริ่มคุกรุ่นมาตั้งแต่วันพฤหัสบดี (29 ก.พ.) หลังแก๊งมาเฟียเริ่มยกระดับก่อเหตุความรุนแรงแบบต่อเนื่องระหว่างนายกรัฐมนตรีเฮติ แอเรียล อองรี (Ariel Henry) เดินทางไปต่างประเทศเพื่อรณรงค์หาความช่วยเหลือความมั่นคงจากประชาคมโลกในการส่งกองกำลังความมั่นคงและอื่นๆ ให้แก่เฮติที่กองกำลังตำรวจภายในประเทศไม่สามารถควบคุมความสงบเรียบร้อยได้
ความรุนแรงครั้งล่าสุดเกิดมาจากหัวหน้ามาเฟียแก๊งเฟดเดอเรชัน จิมมี เชริซิเยร์ (Jimmy Chérizier) หรือที่รู้จักในฉายา “บาร์บีคิว” จากเหตุผลที่แม่ของเขาเคยขายเนื้ออยู่ที่ตลาด ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบการเกิดความรุนแรงขึ้นภายในประเทศจำนำมาสู่คำสั่งการประกาศภาวะฉุกเฉินเมื่อคืนวันอาทิตย์ (3)
เชริซิเยร์นั้นมีประวัติไม่ธรรมดา เคยเป็นถึงอดีตตำรวจระดับบนชื่อดังของเฮติ ก่อนที่จะกลายเป็นหัวหน้าแก๊งมาเฟียเฟดเดอเรชันเขาประกาศว่า เป้าหมายการก่อจลาจลเพื่อต้องการจับตัวผู้บัญชาการตำรวจเฮติ และบรรดารัฐมนตรีเฮติ และเขาไม่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีอองรีสามารถเดินทางกลับเข้าประเทศได้อีกครั้ง
ทั้งนี้ มีคนไม่ต่ำกว่า 9 รายเสียชีวิตมาตั้งแต่วันพฤหัสบดี (29 ก.พ.) จากทั้งหมดเป็นตำรวจเฮติไม่ต่ำกว่า 4 นาย การก่อเหตุความรุนแรงรวมไปเป้าหมายที่สถานีตำรวจเฮติ ท่าอากาศยานนานาชาติกรุงปอร์โตแปรงซ์ และความรุนแรงยังเกิดขึ้นแม้กระทั่งภายในสเตเดียมสนามฟุตบอล และเจ้าหน้าที่สนามโดนจับเป็นตัวประกันนานหลายชั่วโมง
ความรุนแรงได้ยกระดับสูงสุดเมื่อคืนวันเสาร์ (2) เมื่อมีการบุกยึดเรือนจำและมีนักโทษคดีอุกฉกรรจ์จำนวนเกือบ 4,000 คนสามารถหลบหนีออกไปได้ระหว่างการแหกคุก ส่งผลทำให้เรือนจำเฮติที่เคยแน่นขนัดไปด้วยนักโทษในวันอาทิตย์ (3) กลับว่างเปล่า ไม่มีทั้งผู้คุม เหลือไว้แต่รองเท้าแตะฟองน้ำ เสื้อผ้า และโต๊ะเก้าอี้กระจัดกระจายไปทั่วพื้นคอนกรีต และมีศพนักโทษ 3 รายมีร่องรอยเสียชีวิตจากการโดนยิงด้วยกระสุนปืนนอนเสียชีวิตที่ทางเข้าเรือนจำ
นอกจากนี้ เรือนจำใหญ่เป็นอันดับ 2 ของกรุงปอร์โตแปรงซ์ที่มีนักโทษจำนวน 1,400 คนอยู่ด้านในสามารถแหกคุกหลบหนีออกไปได้เช่นกัน เดอะการ์เดียนชี้
ด้านสกายนิวส์ของอังกฤษรายงานเพิ่มเติมว่า เสียงปืนยิงดังระหว่างการปะทะหนักหน่วงในไม่กี่วันหลัง “จิมมี” หัวหน้าแก๊งเฟดเดอเรชันออกมาส่งสัญญาณเรียกร้องให้กลุ่มมาเฟียทุกกลุ่มให้ร่วมมือเพื่อโค่นล้มนายกฯ แอเรียล อองรี
และเพื่อนำความสงบกลับคืนสู่เฮติ รัฐบาลออกคำสั่งบังคับเคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้านระหว่างเวลา 18.00-05.00 น. เป็นเวลา 72 ชม.
สกายนิวส์รายงานว่า วันอาทิตย์ (3) ไม่พบมีตำรวจอยู่ที่เรือนจำ และประตูใหญ่ของเรือนจำยังคงเปิดกว้าง
หนึ่งในนักโทษเฮติที่ไม่เปิดเผยชื่อให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์มีใจความว่า "ผมเป็นคนเดียวที่เหลืออยู่ในห้องขัง" และเล่าเหตุการณ์ต่อว่า "ระหว่างที่พวกเรากำลังหลับได้ยินเสียงกระสุนปืนดังและเครื่องกีดขวางของเรือนจำถูกทำลาย"