(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
Fire Jens Stoltenberg now before it is too late
By STEPHEN BRYEN
25/02/2024
มาถึงตอนนี้ฝ่ายรัสเซียกำลังเชื่อแล้วว่า พวกเครื่องบินขับไล่ เอฟ-16 ที่ใกล้ถูกจัดส่งให้แก่ยูเครน ซึ่งบางทีอาจจะถูกนำออกปฏิบัติการในยูเครนได้ภายในต้นฤดูร้อนนี้ จะมีพวกนักรบรับจ้างที่เป็นนักบินในกองทัพชาติสมาชิกนาโต้เป็นผู้ใช้งาน
เยนส์ สโตลเตนเบิร์ก (Jens Stoltenberg) อดีตนายกรัฐมนตรีนอร์เวย์ ที่เป็นเวลานี้ เป็นเลขาธิการขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) สมควรที่จะถูกไล่ออกจากตำแหน่งตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย ก่อนที่มันจะสายเกินไป เขาประกาศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เขากำลัง “อนุญาต” ให้ยูเครน [1] สามารถนำเอาเครื่องบินขับไล่เอฟ-16 ที่จะถูกจัดส่งไปให้ในเร็วๆ นี้ ไปเปิดฉากโจมตีถึงดินแดนข้างในรัสเซีย
นี่มีค่ามีความหมายเท่ากับการที่นาโต้ประกาศสงครามนั่นเอง มันจึงเป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่มีเหตุผลและอันตรายมาก ซึ่งจำเป็นที่จะต้องประกาศเป็นโฆษะให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่เพียงแต่สโตลเตนเบิร์กเป็นเหยี่ยวกระหายศึกระดับสุดๆ เท่านั้น เขายังเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิงเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของนาโต้อีกด้วย ถ้าปล่อยให้เขายังคงดำรงตำแหน่งอยู่ต่อไปแล้ว เขาจะนำนาโต้เข้าสู่สงครามระดับทั่วทั้งยุโรปซึ่งอาจจะมีการใช้พวกอาวุธนิวเคลียร์อีกด้วย เหนือสิ่งอื่นใดเลย สโตลเตนเบิร์กไม่ได้มีความเข้าใจอย่างหนักแน่นมั่นคงว่า นาโต้นั้นเป็นกลุ่มพันธมิตรเพื่อการป้องกัน ไม่ใช่เพื่อการบุกโจมตี
นาโต้อยู่ในภาวะลอยละล่องไปในทิศทางที่ผิดพลาดมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว กลุ่มพันธมิตรนี้ได้เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ในสงครามหลายๆ สงครามที่อยู่นอกเหนืออาณาบริเวณป้องกันของนาโต้ที่กำหนดไว้ (นั่นคือตอนเหนือของมหาสมุทรแอตแลนติก -ผู้แปล) โดยอิงอาศัยการเมืองประเภทหยาบกระด้างซึ่งเป็นที่ชอบอกชอบใจของพวกผู้นำสหรัฐฯและยุโรป ที่คุณสมบัติโดดเด่นอย่างอื่นๆ ของพวกเขาก็คือความเฉื่อยชาและสายตาสั้น สงครามเหล่านี้ ซึ่งเวลานี้ก็รวมไปถึงยูเครนด้วย กำลังดูดกลืนเอาความสามารถในการป้องกันของมาโต้ให้ร่อยหรอพร่องลงไป และสร้างความอ่อนแอให้แก่ภาระความรับผิดชอบที่เป็นแกนกลางจริงๆ ของกลุ่มพันธมิตรนี้ ซึ่งก็คือการปกป้องคุ้มครองดินแดนของบรรดารัฐสมาชิกของตนเอง
ในสนธิสัญญานาโต้นั้นไม่มีมาตราไหนเลยที่ให้อำนาจสำหรับการปฏิบัติการเชิงรุกในพื้นที่ภายนอกเขตแดนดูแล
มาถึงตอนนี้ฝ่ายรัสเซียกำลังพูด [2] ว่า มีพวกที่ถูกเรียกกันว่าเป็น “นักรบรับจ้าง” ในยูเครน มากหน้าหลายตาเหลือเกิน ซึ่งจริงๆ แล้ว เป็นทหารนาโต้ที่ผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี พวกเขาสวมเครื่องแบบของยูเครน โดยมีแผ่นเครื่องหมายแห่งชาติประดับเอาไว้ด้วยเพื่อแยกแยะพวกเขาออกมาจากทหารอื่นๆ ผู้คนเหล่านี้ “มีความจำเป็น” สำหรับการทำหน้าที่ใช้ประดาอาวุธไฮเทคต่างๆ ซึ่งนาโต้จัดส่งไปให้ยูเครนในระยะหลังๆ นี้ เมื่อตอนที่ฝ่ายรัสเซียเข้ายึดเมืองอัฟดิอิฟกาเอาไว้เร็วๆ นี้ พวกเขาได้พบศพนักรบรับจ้างเหล่านี้หลายศพ [3] บางศพเป็นชาวอเมริกัน บางศพเป็นชาวโปแลนด์
ก่อนหน้านี้ ฝ่ายรัสเซียได้สังหารนักรบรับจ้างชาวฝรั่งเศสไปอย้างน้อย 60 คนจากการถล่มโจมตีโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองคาร์คิฟ (Kharkiv)
ฝ่ายฝรั่งเศสแถลงประณามการออกข่าวการโจมตีคราวนี้ [4] โดยกล่าวว่ามันเป็นการปฏิบัติการให้ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จเพื่อชักนำให้เข้าใจผิดของรัสเซีย กระนั้นฝ่ายฝรั่งเศสเองกลับเรียกเอกอัครราชทูตรัสเซียมาพบเพื่อโวยเรื่องที่ชาวฝรั่งเศสเสียชีวิต [5] ในยูเครน
สงครามยูเครนกำลังเปลี่ยนไปกลายเป็นสงครามของนาโต้อย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่เนื่องจากนาโต้จัดหาจัดส่งข่าวกรอง รวมทั้งจัดการฝึกทหารและจัดส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ยูเครนเท่านั้น แต่ยังมีการจัดส่งนักเทคนิคที่มีประสบการณ์ไปช่วยเหลือเคียฟอีกด้วย มันเป็นข้อเท็จจริงธรรมดาๆ นี่เองที่ว่า ยูเครนนั้นยังไม่สามารถใช้พวกระบบการป้องกันภัยทางอากาศอย่างเช่น แพทริออต (Patriot) และ นาแซมส์ (NASAMs) หรือระบบยิงจรวดหลายลำกล้องอย่าง ไฮมาร์ส (HIMARS) หรือให้ความสนับสนุนแก่ขีปนาวุธร่อน “สตอร์ม แชโดว์” (Storm Shadow cruise missiles) ที่สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสร่วมกันผลิตออกมาได้หรอก ถ้าหากปราศจากการช่วยเหลืออย่างมากมายจากภายนอก
การเสียชีวิตของพวกบุคลากรของนาโต้ส่วนใหญ่แล้วถูกปกปิดเอาไว้ แล้วเมื่อต้องมีการรายงานข่าวแจ้งข่าวเกี่ยวกับการตายของพวกเขาขึ้นมา โดยทั่วไปแล้วก็จะระบุกันว่า พวกเขาเป็น “อาสาสมัคร” ที่กำลังให้ความช่วยเหลือทางด้านการแพทย์
มาถึงตอนนี้ฝ่ายรัสเซียกำลังเริ่มเชื่อแล้วว่า พวกเครื่องบินขับไล่ เอฟ-16 ที่กำลังถูกจัดส่งให้แก่ยูเครน (ซึ่งบางทีอาจจะถูกนำออกปฏิบัติการในยูเครนได้ภายในต้นฤดูร้อนนี้) จะใช้งานโดยพวกนักบินนาโต้
ฝ่ายรัสเซียกล่าวอ้างเช่นนี้ ก็โดยอิงอยู่กับประสบการณ์กับสิ่งที่พวกเขาได้เคยกระทำด้วยตนเองมาแล้วในอดีต ทั้งนี้รัสเซียได้เคยให้นักบินของพวกเขาที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบทหารจีน [6] ขึ้นบิน มิก-15 ในระหว่างสงครามเกาหลี ส่วนในสงครามแบบพร่ากำลัง (war of attrition) เมื่อปี 1970 ระหว่างอียิปต์กับอิสราเอล พวกนักบินรัสเซียก็นำเครื่องบินขึ้นบินปฏิบัติภารกิจเช่นเดียวกัน [7] โดยบางครั้งกระทำอย่างเปิดเผย (เนื่องจากมีเพียงนักบินรัสเซียเท่านั้นที่สามารถบิน มิก-25 ได้) และบางคราวก็เสแสร้งตีเนียนว่าพวกเขาเป็นนักบินชาวอียิปต์
มันเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งยวดที่นำเอานักบินนาโต้มาใช้ในยูเครน แต่ในตอนนี้ สโตลเตนเบิร์ก ได้ “อนุญาต” ให้ยูเครนสามารถบินเอฟ-16 เหนือดินแดนของรัสเซีย โดยที่ก่อนหน้านี้สงครามก็ได้แผ่ขยายออกไปอยู่แล้ว [8] จากการที่มีทั้งโดรน, ขีปนาวุธร่อน, และจรวดที่ผลิตโดยนาโต้ เข้าโจมตีเป้าหมายต่างๆ ซึ่งอยู่ภายในรัสเซีย กระนั้นก็ตาม การเพิ่ม เอฟ-16 เข้ามาอีก ยังคงต้องถือเป็นการขยายตัวในเชิงคุณภาพอย่างหนึ่ง เนื่องจาก เอฟ-16 สามารถใช้ในการโจมตีเมืองใหญ่ๆ ของรัสเซียได้
รัสเซียจะต้องไม่พอใจอยู่แค่การจำกัดตัวเองให้พยายามยิงเอฟ-16ที่บินอยู่บนท้องฟ้าในนามของยูเครน ให้ร่วงลงมาเท่านั้น แน่นอนอยู่แล้วว่าพวกเขาจะโจมตีพวกสนามบินของยูเครนด้วย (ในความเป็นจริง พวกเขาก็กำลังกระทำเช่นนั้นเรียบร้อยแล้ว [9]) ทว่าพวกเขาจะหยุดยั้งลงแค่ตรงนี้หรือ? บางทีอาจจะไม่ โดยที่รัสเซียจะตีความการที่ เอฟ-16 กำลังบินเหนือดินแดนของพวกเขาว่าเป็นการประกาศสงครามต่อรัสเซีย โดยที่ในความเป็นจริง รัสเซียกำลังพูดอย่างนี้อยู่แล้วด้วยซ้ำไป [10]
เอฟ-16 เป็นอากาศยานที่ยอดเยี่ยม ทว่าพวกเครื่องบินที่ยูเครนกำลังจะได้รับนั้นเป็นรุ่นเก่าที่ใช้งานกันมาราว 20 ปีแล้ว และระยะหลังๆ ก็ไม่ได้ออกแนวหน้าอย่างเป็นจริงเป็นจัง นี่คือเหตุผลที่ทำไมพวกประเทศที่จัดหาจัดส่งเครื่องบินเหล่านี้ให้ยูเครน จึงตัดสินใจเดินหน้าในเรื่องนี้ ขณะที่ เอฟ-16 รุ่นเก่าเหล่านี้อาจจะสามารถอัปเกรดด้วยการติดตั้งอาวุธใหม่ๆ, ติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ควบคุมการยิงที่ดียิ่งขึ้น, และบางทีกระทั่งติดตั้งระบบเรดาร์ที่ดีขึ้นด้วย แต่เครื่องบินพวกนี้ก็จะยังไม่สามารถอยู่รอดได้อยู่ดีเมื่อเผชิญกับระบบการป้องกันภัยทางอากาศของรัสเซีย และเครื่องบินรัสเซียระดับท็อปออฟเดอะไลน์ อย่างเช่นรุ่น ซู-35 ด้วยเหตุนี้ การนำเอา เอฟ-16 เหล่านี้ขึ้นบินเหนือรัสเซีย จึงเป็นเพียงการยั่วยุซึ่งน่าจะส่งผลให้เกิดสงครามที่ใหญ่โตกว้างขวางมากขึ้นแผ่ขยายตัวออกไปในยุโรป
นาโต้กำลังเล่นเกมส์วัดใจกับรัสเซียมาระยะหนึ่งแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยการจัดหาจัดส่งระบบอาวุธที่มีพิสัยทำการไกลๆ มาให้แก่กองทัพยูเครน ทั้งนี้แทบไม่มีเหตุผลความชอบธรรมทางการทหารใดๆ เลยที่จะทำเช่นนี้ เนื่องจากการก่อกวนมุ่งรังแกรัสเซียมีแต่นำไปสู่การบานปลายขยายตัว โดยที่ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ทำให้กองทัพยูเครนแข็งแกร่งขึ้นแต่อย่างใด ทั้งนี้กองทัพยูเครนเวลานี้กำลังอยู่ในภาวะขาดแคลนทั้งกำลังพลและเครื่องกระสุนอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เซเลนสกี บางทีอาจจะวาดหวังเอาไว้ว่าเขาจะสามารถอยู่รอดปลอดภัยได้ ด้วยการที่นาโต้จะเข้ามาแทรกแซงช่วยเหลือ ทว่าจากทัศนะมุมมองของรัสเซียนั้น นาโต้ได้เข้าแทรกแซงอยู่แล้ว และสิ่งต่างๆ มีแต่อาจจะเลวร้ายลงไปอีกเท่านั้น
ไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ใคร -ถ้าหากจะมีคนไหนสักคน- บอกให้ สโตลเตนเบิร์ก ออกมาแถลงแบบสะเพร่าไม่ยั้งคิดเอาเลยเกี่ยวกับเรื่องการให้ยูเครนใช้ เอฟ-16 โจมตีดินแดนรัสเซียได้ แต่มันเป็นที่กระจ่างแจ่มแจ้งว่า “การอนุญาต” ดังกล่าว สมควรต้องถูกถอนถูกประกาศยกเลิก และตัว สโตลเตนเบิร์ก ก็สมควรที่จะถูกปลดออกจากตำแหน่ง
สตีเฟน ไบรเอนเคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเจ้าหน้าที่ของคณะอนุกรรมการตะวันออกใกล้ แห่งคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมทั้งเคยเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหมด้านนโยบายของสหรัฐฯ ปัจจุบันเป็นนักวิจัยอาวุโสอยู่ที่ Center for Security Policy และ Yorktown Institute ข้อเขียนนี้หนแรกสุดเผยแพร่อยู่ใน Weapons and Strategy ที่เป็นบล็อกบนแพลตฟอร์ม Substack ของผู้เขียน
เชิงอรรถ
[1] https://www.ukrinform.net/rubric-ato/3830480-ukraine-will-have-right-to-use-f16s-to-attack-military-targets-in-russia-stoltenberg.html
[2] https://tass.com/defense/1748201
[3] https://english.pravda.ru/news/hotspots/158973-avdiivka_us_poland/
[4]https://www.lemonde.fr/en/international/article/2024/01/26/french-mercenaries-killed-in-ukraine-paris-calls-out-a-russian-disinformation-operation_6466963_4.html#:~:text=On%20Wednesday%2C%20January%2017%2C%20Moscow,building%20in%20Kharkiv%2C%20eastern%20Ukraine.
[5] https://www.politico.eu/article/paris-summons-russian-ambassador-over-french-deaths-in-ukraine/
[6] https://www.nationalmuseum.af.mil/Visit/Museum-Exhibits/Fact-Sheets/Display/Article/196389/soviet-pilots-over-mig-alley/#:~:text=In%20August%201950%2C%20the%20USSR,had%20pilots%20in%20direct%20combat.
[7] https://en.wikipedia.org/wiki/Operation_Rimon_20
[8]https://www.atlanticcouncil.org/blogs/ukrainealert/ukrainian-long-range-drones-target-putins-war-machine-inside-russia/#:~:text=Over%20the%20past%20year%2C%20Ukrainian,to%20supply%20its%20invading%20army.
[9] https://www.reuters.com/world/europe/ukrainian-drones-attack-russian-air-base-near-estonia-2023-08-30/
[10] https://www.euronews.com/2023/07/12/ukraine-war-medvedev-warns-of-world-war-iii-f-16-training-for-ukraine-wagner-near-nuclear
หมายเหตุผู้แปล
ประวัติย่อของ เยนส์ สโตลเตนเบิร์ก
เยนส์ สโตลเตนเบิร์ก เกิดเมื่อปี 1959 ในกรุงออสโล โดยเป็นบุตรของนักการทูตและนักการเมืองคนสำคัญชาวนอร์เวย์ คือ ธอร์วัลด์ สโตลเตนเบิร์ก และ คานิน สโตลเตนเบิร์ก เขาสำเร็จการศึกษาได้ปริญญาบัตรในสาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยออสโลเมื่อปี 1987 ระหว่างที่ศึกษาอยู่ เขาเคยทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์ และเป็นผู้นำของฝ่ายเยาวชนของพรรคเลเบอร์จากปี 1985 ถึง 1989
เขาเริ่มงานอาชีพของเขาในภาครัฐบาลด้วยการครองตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีในกระทรวงสิ่งแวดล้อมในปี 1990 และได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภานอร์เวย์ในปี 1993 สโตลเตนเบิร์กเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการอุตสาหกรรมและพลังงาน และรัฐมนตรีคลัง ก่อนขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีนอร์เวย์ในช่วงปี 2000 ถึง 2001 และอีกครั้งหนึ่งจากปี 2005 จนถึงปี 2013 เขาสังกัดพรรคเลเบอร์ โดยที่แนวความคิดทางการเมืองของเขาอยู่ทางปีกขวาของพวกสังคมประชาธิปไตย และได้รับสมญาว่าเป็น “โทนี่ แบลร์ แห่งนอร์เวย์”
สโตลเตนเบิร์กได้รับเสนอชื่อเป็นเลขาธิการองค์การนาโต้ในปี 2014 และได้ต่ออายุอยู่ในตำแหน่งนี้มาแล้ว 4 ครั้ง ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงซึ่งอยู่ในตำแหน่งมาอย่างยาวนานที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของนาโต้ สโตลเตนเบิร์กมีบทบาทในการขยายนาโต้เข้าไปในยุโรปตะวันออก และการอยู่ในตำแหน่งของเขาสอดคล้องกับช่วงเวลาแห่งการเพิ่มงบประมาณรายจ่ายครั้งใหญ่ที่สุดของนาโต้นับตั้งแต่สงครามเย็นเป็นต้นมา
(ที่มา: วิกิพีเดีย ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Jens_Stoltenberg)