ชายสูงวัยชาวจีนในนครซานฟรานซิสโกซึ่งถูกพวกอันธพาลทำร้ายร่างกายหลายครั้ง รวมถึงในช่วงที่โควิด-19 ระบาดใหม่ๆ ตัดสินใจย้ายกลับไปอยู่ประเทศจีน โดยให้เหตุผลว่าเมืองแห่งนี้ “ไม่ปลอดภัย” สำหรับคนเอเชียอย่างเขาอีกต่อไป
สื่อ Sing Tao Daily รายงานว่า หรงซิน เหลียว (Rongxin Liao) วัย 87 ปี เคยถูกคนร้ายทุบตีจนหมดสติที่เขตเทนเดอร์ลอยน์ (Tenderloin) ในซานฟรานซิสโกเมื่อ 7 ปีก่อน และต่อมายังโดนทำร้ายอีกครั้งเมื่อเดือน ก.พ. ปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่โควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดไปทั่วโลก โดยคุณตาซึ่งต้องใช้เครื่องช่วยพยุงเดินคนนี้ถูกเตะจนล้มระหว่างที่กำลังรอรถประจำทาง
ล่าสุด เหลียว ตกเป็นเหยื่อกระแสเกลียดชังคนเอเชียอีกรอบที่หน้าร้านขายยาแห่งหนึ่งใกล้ถนน Market Street เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ปีที่แล้ว โดยถูกชายคนหนึ่งบุกเข้ามาชกที่ศีรษะขณะกำลังเข็นวีลแชร์ ทว่ารายงานข่าวที่ออกมาในตอนนั้นไม่ได้ระบุชื่อ เหลียว ว่าเป็นผู้ถูกทำร้าย
เหลียว ต้องไปขึ้นศาลหลายครั้งจากเหตุการณ์เมื่อปี 2020 และแม้ว่าเขาจะพยายามร้องขอให้ศาลลงโทษสถานหนักต่อ อีริค รามอส-เฮอร์นันเดซ (Eric Ramos-Hernandez) ซึ่งเป็นผู้ที่ทำร้ายเขา แต่สุดท้ายชายอันธพาลกลับได้รับโทษจำคุกเพียง 7 เดือน ก่อนจะถูกส่งไปโรงพยาบาลจิตเวช และได้รับการปล่อยตัวกลับบ้านในที่สุด
สำหรับเหตุการณ์เมื่อเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว ผู้ที่ลงมือทำร้าย เหลียว คือ เอฟฟริม เบเกอร์ (Effrim Baker) วัย 60 ปี ซึ่งยังถูกตั้งข้อหาอีก 14 กระทงจากเหตุไล่แทงที่เจ้าตัวก่อขึ้นในวันเดียวกัน
จิง เหลียว (Jing Liao) บุตรชายของคุณตา ยืนยันกับสื่อ San Francisco Standard ว่า พ่อของเขาซื้อตั๋วเครื่องบินแบบเที่ยวเดียวกลับไปยังนครกว่างโจว โดยมีกำหนดออกเดินทางในวันอาทิตย์นี้ (4 ก.พ.)
จิง บอกว่า สาเหตุที่เขาตัดสินใจส่งพ่อกลับไปอยู่บ้านเกิดที่จีน ก็เพราะความปลอดภัยสาธารณะในซานฟรานซิสโก “ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ”
“ผมไม่อยากสร้างปัญหาให้ลูกชายซึ่งอยู่ที่นี่ ไม่อยากให้เขาต้องเป็นห่วงผมตลอดเวลา” เหลียว ให้สัมภาษณ์กับ Sing Tao Daily พร้อมยืนยันว่ายินดีสละสัญชาติอเมริกันกลับไปใช้สัญชาติจีนทันทีที่กลับไปถึงแดนมังกร
แม้รัฐแคลิฟอร์เนียและอีกหลายเมืองทั่วอเมริกาจะมีสถิติอาชญากรรมความเกลียดชังเพิ่มขึ้น แต่รายงานของ Axios อ้างว่าซานฟรานซิสโกเกิดคดีลักษณะนี้ลดลงจาก 114 คดีในปี 2021 เหลือเพียง 36 คดีในปี 2022 และเหตุทำร้ายร่างกายซึ่งเกิดจากความเกลียดชังคนเอเชียก็ลดลงจาก 60 เหลือเพียง 6 คดีในช่วงเวลาเดียวกัน
ที่มา : Nextshark