จิตน่าจะวิปริตอย่างหนัก สำหรับหนุ่มใหญ่วัย 32 ปี นามว่า จัสติน โมห์น ในรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งทำการฆ่าตัดหัว ไมเคิล โมห์น บิดาบังเกิดเกล้าวัยชรา 68 ปี แล้วนำศีรษะที่หลุดออกจากร่าง ไปชูหน้ากล้องวิดีโอขณะบันทึกภาพและเสียงตนเองประณามด่าทอประธานาธิบดีโจเซฟ ไบเดนว่าเป็นพวกทรยศต่อประเทศชาติ เมื่อช่วงบ่ายของวันอังคารที่ 30 มกราคม 2024
โดยการตะเบ็งด่าทอนั้นเต็มไปด้วยทัศนคติแบบขวาสุดโต่ง มีทั้งประเด็นทางการเมืองและเศรษฐกิจ ตลอดจนเรียกร้องการปฏิวัติล้มล้างระบอบไบเดน และการทำลายกองทัพผู้ลี้ภัยเข้าสู่แผ่นดินอเมริกาอย่างผิดกฎหมาย แล้วคลิปนี้ถูกนำขึ้นช่องยูทูป ในช่วงประมาณ 17.30 น. ของวันเดียวกันนั้นเลย
คลิปวิดีโออันมีไฮไลท์สุดแสนสะเทือนขวัญ อยู่ที่ภาพของศีรษะซึ่งถูกชูขึ้นมากล่าวร้ายสาดเสียเทเสีย ถูกรับชมกันบนยูทูป ได้นานประมาณ 6-7 ชั่วโมงก่อนจะถูกยูทูปถอดออก
โดยเมื่อโพสต์ขึ้นไปเวียนดูกันได้ระยะหนึ่ง เดนีซ โมห์น มารดาของฆาตกรทรพี กลับถึงบ้านและได้พบศพของสามี แต่บุตรชายซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุขับรถออกไปแล้ว ก็รีบแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายไปยังสถานีตำรวจเมืองมิดเดิลทาวน์ ทาวน์ชิป เทศมณฑลดอฟิน โดยให้เบาะแสว่าหลังจากเวลา 14.30 น. ที่ตนออกไปทำธุระนั้น ภายในบ้านเหลือแต่ จัสตินผู้เป็นบุตร กับไมค์ผู้เป็นบิดา เพียงสองคนเท่านั้น
แล้วกลุ่มรถสายตรวจก็บึ่งกันไปยังบ้านเกิดเหตุ ณ ช่วงประมาณ 19.00 น.
ตำรวจมิดเดิลตันทาวน์ ทาวน์ชิป เปิดเผยว่าได้พบสภาพการณ์อันสยดสยอง คือ ร่างไร้ศีรษะและเลือดจำนวนมากเจิ่งนองรอบศพซึ่งในห้องอาบน้ำ โดยมีมีดทำครัวขนาดใหญ่ถูกทิ้งไว้ในอ่างอาบน้ำ และในส่วนของศีรษะ ถูกวางไว้ในหม้อหุงต้มที่ห้องครัว
การออกติดตามจับกุมชายผู้ต้องสงสัย คือ จัสติน โมห์น ซึ่งเป็นบุคคลในคลิประทึกขวัญ เกิดขึ้นทันทีด้วยการติดตามสัญญาณจากการใช้โทรศัพท์มือถือ และจึงสามารถพบรถยนต์คันที่ฆาตกรขับออกมาบ้าน ถูกจอดทิ้งไว้ด้านนอกกำแพง สถานฝึกอบรมกองกำลังป้องกันชาติ ในย่านที่เรียกว่า ฟอร์ต อินเดียนทาวน์ แก๊ป ในเทศมณฑลเลบานอน ซึ่งห่างจากบ้านมรณะราว 160 กิโลเมตร หรือก็คือระยะทางขับรถประมาณสองชั่วโมง
ตำรวจควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้โดยไม่มีการต่อสู้ ที่ภายในสถานฝึกอบรมกองกำลังป้องกันชาติ ช่วงประมาณ 21.30 น. ของคืนอังคารนั้นเลย เอ็นบีซีนิวส์ นิวยอร์กโพสต์ สถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ 29 และเดลิเมลออนไลน์ รายงานโดยไม่มีข้อมูลเฉลยว่า ฆาตกรทรพีทำการสังหารบิดา และจัดทำคอนเทนต์ประกาศอุดมการขวาจัด ขึ้นไปบนช่องยูทูปของตน แล้วขับรถดิ่งไปหาใคร ณ สถานฝึกอบรมกองกำลังป้องกันชาติ และเพื่ออะไร
ในวิดีโอฟุตเทจอันน่าอเนจอนาถใจที่นิวยอร์กโพสต์บอกว่า เข้าไปพินิจดูอย่างละเอียดได้ทันก่อนจะถูกถอดพ้นยูทูปนั้น มีตอนหนึ่งที่ชายผิวขาว ซึ่งก็คือ จัสติน โมห์น ชูศีรษะของบิดาซึ่งขาดออกจากร่างแล้ว ให้กล้องจับภาพอย่างกระจะ โดยศีรษะดังกล่าวอยู่ในถุงพลาสติกที่แฉะไปด้วยเลือด
“ตอนนี้เขาอยู่ในนรกตลอดกาลแล้ว เพราะเป็นผู้ทรยศต่อประเทศของตนเอง” กล่าวโดยชายผู้ใช้มือที่สวมถุงมือพลาสติก ชูศีรษะของเหยื่อในลักษณะประณาม ก่อนจะพล่ามพูดล้งเล้งประณามด่าทอรัฐบาลของประธานาธิบดีไบเดน พร้อมกับเรียกร้องให้กองกำลังติดอาวุธทั่วสหรัฐฯ รวมตัวกันไปสังหารบรรดาข้าราชการของรัฐบาลกลาง พบที่ไหน ฆ่าทิ้งที่นั่น นิวยอร์กโพสต์รายงาน
คลิปแสนสะท้านสะเทือนขวัญ ความยาว 14 นาทีกว่าๆ แผลงฤทธิ์อยู่บนยูทูปราว 6-7 ชั่วโมงนับจากที่โพสต์ขึ้นไปตอนเวลาประมาณ 17.30 น. โดยที่ว่า ณ เวลา 23.30 น. ของวันอังคาร คลิปนี้ยังออนไลน์อยู่ เดลิเมลออนไลน์รายงานอย่างนั้น และถอดถ้อยคำของ จัสติน โมห์น มานำเสนอว่า
“นี่เป็นศีรษะของไมค์ โมห์น ผู้เป็นข้าราชการในสังกัดรัฐบาลกลางนานกว่า 20 ปี และเป็นบิดาของผม ตอนนี้เขาอยู่ในนรกตลอดกาลแล้ว เพราะเป็นผู้ทรยศต่อประเทศของตนเอง”
จัสติน โมห์น ประกาศจะมอบค่าหัว 1 ล้านดอลลาร์ แก่ผู้ใดก็ตามที่สามารถสังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลกลาง อาทิ คริสโตเฟอร์ เรย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง หรือ เอฟบีไอ เมอร์ริก การ์แลนด์ อัยการสูงสุดแห่งสหรัฐฯ และ บิลล์ บารร์ อดีตอัยการสูงสุดสหรัฐฯ เดลิเมลออนไลน์รายงานอย่างนั้น และบอกด้วยว่า
ข้อมูลในระบบทะเบียนระบุว่า จัสติน โมห์น อาศัยในบ้านเดียวกับคุณพ่อไมเคิล และคุณแม่เดนีซ (63 ปี) โดย จัสติน เป็นบุตรชายสุดท้อง และมีพี่ 3 คน ซึ่งพี่คนที่สองกับคนที่สามมีชื่ออยู่ในระบบทะเบียนบ้านมรณะแห่งนี้ ได้แก่ พี่แซคเคอรี (35 ปี) กับพี่สเตฟานี (38 ปี) ส่วนพี่ชายคนโตมีภาพอยู่บนเฟซบุ๊กของคุณแม่เดนีซ อันมีภาพของลูกชายสามใบเถา และระบุถึงชื่อของพี่ชายคนโต ว่า ไมเคิล จูเนียร์ โมห์น
ฆาตกรหั่นคอพ่อผู้ชรา เป็นโรคจิตหลอน เชื่อในสิ่งที่ไม่ตรงกับความจริง ดูเผินๆ จะไม่เห็นแววอำมหิต แต่ที่แท้แล้ว นิยมความรุนแรงและการเข่นฆ่า
เดลิเมลออนไลน์นำเสนอว่า จัสติน โมห์น เป็นโรคจิตประเภทที่มีความเชื่อผิดๆ มีความคิดไม่ตรงกับความเป็นจริง และสะท้อนออกมาเป็นความคิดเห็นแบบทฤษฎีสมคบคิดของขบวนการ QAnon แนวคิดขวาจัดซึ่งสนับสนุนนโยบายก้าวร้าวและหลักการผู้ชายเป็นใหญ่ของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการรังเกียจผู้อพยพจากประเทศยากจน
ในเวลาเดียวกันก็หลงตนเองว่าเป็นบุคคลสำคัญของโลก เป็นรักษาการประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงกฎอัยการศึก อีกทั้งยังเป็นพระเมสไซอาห์ (พระเยซู) พระองค์ที่ 2 และนิยมความรุนแรงอย่างสุดโต่ง โดยกล้าถือถุงใส่ศีรษะของบิดาบังเกิดเกล้าซึ่งมีเลือดนองขึ้นโชว์ พลางโวยวายวิจารณ์ปัญหาระดับมหภาคแบบคนขาดสติสัมปชัญญะ
เหนืออื่นใดคือปมเจ็บปวดอ่อนไหวในจิตใจที่ชี้บ่งว่า จัสติน โมห์น มีความขัดแย้งรุนแรงกับผู้เป็นบิดาบังเกิดเกล้า เขาบอกว่าคุณพ่อไมเคิลอิจฉาตัวเขา และคอยกีดกันไม่ให้ตัวเขาประสบความสำเร็จ
พร้อมนี้ เดลิเมลออนไลน์ไล่เรียงปมปัญหาชีวิตความล้มเหลวส่วนตัวที่สร้างความกดดันทางจิตอย่างรุนแรง ในขั้นที่ทำให้ลุกขึ้นมาสังหารบิดาอย่างทารุณ โดยไม่สามารถรับรู้ถึงความผิดชอบชั่วดี
จัสติน โมห์น มีหนี้สินรุงรัง และต้องกลับมาอาศัยบ้านหรูของบิดามารดาตั้งแต่ปี 2017 เพราะถูกไล่ออกจากงานในรัฐโคโลราโด หลังแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว เช่น ใช้เท้าเตะประตูสำนักงาน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเคยลำบากยากเข็ญกับการหางานทำนานปีกว่า หลังสำเร็จการศึกษาด้านบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในปี 2014 จนกระทั่งได้งานทำที่สหกรณ์เครดิตยูเนียน รัฐโคโลราโดในครึ่งหลังของ 2015 แล้วได้งานใหม่ค่าตอบแทนสูงขึ้น ณ บริษัทประกันภัยโปรเกรสซีฟ
หลังกลับมาซบอกคุณพ่อคุณแม่ในปี 2017 เขาพยายามเข้าสู่ธุรกิจดนตรี เขาเขียนเพลง เล่นกีตาร์ และบันทึกเสียงร้องเพลง แล้วนำไปโชว์บนสปอติฟาย ซึ่งเดลิเมลออนไลน์บอกว่าเสียงแปร่งปร่างผิดโน้ต ทั้งนี้ บทเพลงที่เขาแต่งขึ้นมักจะเป็นเรื่องความทุกข์ใจ เรื่องหนี้สิน เรื่องคิดระแวงว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางต้องการเห็นเขาตาย เรื่องปมในใจว่าคุณพ่ออิจฉาเขา คอยกีดกันไม่ให้เขาสามารถประสบความสำเร็จในชีวิต เรื่องชีวิตต่อสู้ของผู้ชายผิวขาวในสังคมที่ผู้คนเอาแต่สรรเสริญผู้หญิง
“นี่เป็นโลกของพวกผู้หญิง เสริมแกร่งเพิ่มพลังอำนาจให้แต่เฉพาะพวกสาวๆ เหยียบย่ำผู้ชายทุกคน สังหารพ่อไก่และสรรเสริญแม่ไก่” เนื้อหาเพลงของเขาโอดครวญอย่างนั้น
เขาพยายามจะฟ้องร้องดำเนินคดีรัฐบาลกลางรวมแล้ว 4 หนทีเดียว ในข้อหาว่าอนุมัติเงินกู้เรียนหนังสือระดับมหาวิทยาลัย โดยไม่เคยบอกเขาว่าพอสำเร็จการศึกษาแล้ว ก็จะต้องตะเกียกตะกายหางานทำด้วยความยากลำบากเพื่อให้ได้เงินมาใช้คืนหนี้การศึกษา โดยการศึกษาได้ทำให้เขากลายเป็นชายผิวขาวที่เล่าเรียนมามากมายเกินไป ทั้งนี้ การฟ้องร้องครั้งที่ 4 มีขึ้นเมื่อปีที่แล้วนี้เองและเขาเรียกร้องค่าชดเชย 1 ล้านดอลลาร์สำหรับที่รัฐบาลกลางสร้างความทุกข์ตรมให้เขา แต่เรื่องจบลงโดยการที่ผู้พิพากษาไม่รับฟ้อง
สำหรับการงานหาเลี้ยงชีพในบริษัทสุดท้ายคือ บริษัทประกันภัยโปรเกรสซีฟ เขาไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เขาจึงลาออกและยื่นฟ้องบริษัทด้วยข้อกล่าวหาว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะเขาไม่ใช่ผู้หญิง
เมื่อล้มเหลวหนักหนา เขาบากหน้ากลับไปพึ่งบิดามารดา แต่แล้วก็แต่งเพลงติเตียนท่านทั้งสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความปวดใจที่คุณแม่บีบคั้นให้เขาทำงานจ่ายคืนหนี้สิน กับการว่าร้ายใส่คุณพ่อ
ปมในจิตใจที่จัสติน โมห์น มีความขมขื่นอยู่กับบิดา ไปถึงจุดแตกหักในกลางดึกของวันจันทร์ที่ 29 มกราคม
เขาสังหารบิดาผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเขาอย่างเหี้ยมโหด ภายในบ้านของบิดาที่โอบรับเลี้ยงดูเขาในวันเวลาที่เขาหมดหนทางชีวิต
จัสติน โมห์น บอกว่าต้องสังหารบิดาเพราะท่านทำงานให้แก่รัฐบาลกลางนานสองทศวรรษ
แต่รายละเอียดเรื่องนี้ยังไม่แน่นอน เพราะข้อมูลของเดลิเมลออนไลน์พบว่า คุณพ่อไมค์ โมห์น เป็นเจ้าของธุรกิจ 2 บริษัท หนึ่งในนั้นเป็นกิจการทำความสะอาด และยังไม่พบเบาะแสว่า ไมเคิล โมห์น เคยเป็นข้าราชการในหน่วยงานรัฐบาลกลางใดๆ
ในการโพสต์คลิปวิดีโอที่สะเทือนขวัญผู้คนอย่างยิ่งนั้น จัสติน โมห์น โพสต์บนช่องยูทูปของตนเองซึ่งมีผู้ติดตาม 115 ราย แล้วเขาพูดฟุ้งซ่านโจมตีรัฐบาลไบเดนในเรื่องภาษี และเรื่องนโยบายด้านผู้อพยพเข้าสู่สหรัฐฯ พร้อมกับประกาศว่าระบบเศรษฐกิจของประเทศใกล้จะพังทลาย ซึ่งจะส่งผลให้คนอเมริกันส่วนใหญ่หมดศักยภาพที่จะสร้างความฝันให้เป็นจริง
ยิ่งกว่านั้น ยังประณามรัฐบาลไบเดนว่า เป็นระบอบไบเดนที่ทรยศต่อคนอเมริกัน มุ่งจะส่งทหารอเมริกันไปต่อสู้ป้องกันยูเครน แล้วให้ไปตายในรัสเซีย
เดลิเมลออนไลน์ชี้ว่า เขาแสดงความเป็นพวกทฤษฎีสมคบคิดผ่านคำพูดเตือนภัยว่า มีแผนร้ายของพวกคอมมิวนิสต์ดำเนินการทำลายสหรัฐอเมริกา พร้อมกับเสนอเงินค่าหัวให้แก่ผู้ที่ต่อต้านรัฐบาลกลางที่สามารถสังหารบุคคลในตำแหน่งบริหารระดับสูง
นอกจากนั้น ก็พร่ำเพ้อเรียกร้องให้บรรดาข้าราชการลาออกและตีจากฝ่ายคนทรยศขายชาติ มิฉะนั้น ก็จะถึงจุดจบ
ใช่แต่เท่านั้น เขายังโจมตีติเตียนคนผิวดำและขบวนการ Black Lives Matter Movement ตลอดจนดิสเครดิตชุมชนชาว LGBTQ
แล้วเขาก็หยิบศีรษะของบิดาในถุงพลาสติก ออกมาจากถัง พลางชูให้กล้องจับภาพได้ถนัด และล้งเล้งขู่สังหารเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานรัฐบาลกลาง หากไม่ลาออกมาเข้าร่วมกองกำลังปฏิวัติ
“การไล่ล่า จับกุม และสังหารข้าราชการของรัฐบาลกลางอเมริกันจะไม่ยุติ จนกว่าความประสงค์ของคนอเมริกันจะบรรลุผล” เดลิเมลออนไลน์รายงานคำพูดของ จัสติน โมห์น ซึ่งมีการเรียกร้องเพ้อฝันอีกหลายประเด็น เช่น
ให้ประธานาธิบดีไบเดน “สละราชสมบัติ” เรียกร้องให้ยกเลิกหนี้ทุกอย่างที่ประชาชนมีพันธะอยู่กับรัฐบาล ให้ยกเลิกเงินทุนสำรองประเทศ และให้ปิดพรมแดนถาวร
เหนืออื่นใด เขาประกาศออกยูทูปในสไตล์ของกลุ่มขวาจัดว่า “ความรุนแรงคือวิธีแก้ปัญหาเพียงหนทางเดียวในการขับไล่รัฐบาลกลางที่เป็นกบฏและทรยศต่อประเทศชาติ”
คดีลูกทรพีไม่ได้เป็นกรณีบุคคลวิกลจริต ขณะนี้ถูกส่งฟ้องดำเนินคดีข้อหาฆาตกรรมสถานหนัก
คดีสังหารบิดาตายโดย จัสติน โมห์น ถูกส่งฟ้องดำเนินคดีอย่างฉับไวในเช้าวันพุธ 31 มกราคม 2024 ด้วย 3 ข้อหา ได้แก่ ฆาตกรรมสถานหนัก ล่วงละเมิดศพ และครอบครองอาวุธโดยตั้งใจจะนำไปก่ออาชญากรรม ทั้งนี้ ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว เอ็นบีซีรายงาน พร้อมให้ข้อมูลละเอียดจากร้อยตำรวจเอกพีท ฟีเนย์ ดังนี้
“เราไม่ทราบเลยครับว่าเขาหนีไปไหน และความตั้งใจของเขาตอนที่ออกรถไปจากจุดเกิดเหตุ มีอะไรบ้าง โชคดีที่เราสามารถหาพบได้ว่าเขาอยู่ที่ไหน โดยติดตามสัญญาณโทรศัพท์มือถือที่เขาใช้”
ทั้งนี้ สัญญาณตึ๊งขึ้นมาชี้จุด ณ ด้านนอกของฐานที่ตั้งของกองกำลังป้องกันชาติ โดยตำรวจพบรถยนต์ของจัสติน โมห์น จอดอยู่ด้านนอกรั้ว แอนเจลา วัตสัน แห่งกรมกิจการทหารและทหารผ่านศึก ซึ่งกำกับดูแลกองกำลังป้องกันชาติ ให้ข้อมูลแก่เอ็นบีซี
โดยเธอบอกว่า จัสติน โมห์น กระโดดข้ามรั้วและเข้าไปด้านในของสถานฝึกอบรม
พร้อมนี้ เธอให้ข้อมูลว่าผู้ต้องหาคดีอุจฉกรรจ์รายนี้พกพาอาวุธปืนติดตัวเข้าไปด้วย แต่มิได้มีใครได้รับบาดเจ็บขณะที่ผู้ต้องหาอยู่ในสถานฝึกอบรม
อาจกล่าวได้ว่า คดีฆาตกรรมอันอุกอาจนี้มีความซับซ้อนไม่ใช่น้อยๆ เพราะเกี่ยวพันกับชาวขวาจัดตัวเอ้ ซึ่งมีสิ่งชี้บ่งว่าฆาตกรมีทักษะการใช้อาวุธระดับที่สามารถตัดคอ แยกศีรษะออกจากร่างได้ มีอาวุธปืนพกติดตัว กล้าลักลอบเข้าสู่ภายในสถานที่ราชการทหาร อีกทั้งยังมีการต่อสายกับใครบางคนในกองกำลังป้องกันชาติ เหนืออื่นใดคือมีลักษณะของการถูกล้างสมองอย่างมหาศาลจนกระทั่งเกลียดชังบิดาของตนเอง
เหล่านี้เป็นอะไรที่ต้องรอการเฉลยกันต่อไปในกาลข้างหน้า
คอลัมน์ PLANET No.3
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา: เอ็นบีซีนิวส์ นิวยอร์กโพสต์ สถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ 29 เดลิเมลออนไลน์)