(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
Ukraine: Zelensky may soon oust military chief Zaluzhny
By STEPHEN BRYEN
23/01/2024
ลือกันหนาหูว่าประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน กำลังจะเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการกองทัพของเขา โดยถอดเอา วาเลรี ซานุจนี ออก แล้วเอา คีรีโล บูดานอฟ เจ้ากรมข่าวกรองทหาร ขึ้นแทนที่ ขณะที่รัฐบาลของเขาซึ่งถังแตกและขาดแคลนอาวุธยุทโธปกรณ์เพราะความช่วยเหลือจากฝ่ายตะวันตกกำลังสะดุดติดขัด มีการตระเตรียมรับมือกับการพ่ายแพ้สงครามสู้รัสเซีย โดยมีข่าวว่าอาจจะทิ้งเมืองหลวงเคียฟ ถอยร่นไปทางภาคตะวันตกมากยิ่งขึ้น
ข่าวลือกำลังแพร่สะพัดอยู่ในกรุงเคียฟว่า ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน กำลังจะปลด พลเอกวาเลรี ซานุจนี (General Valerii Zaluzhny) ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการของกองทัพยูเครน
มีรายงานมาพักใหญ่แล้วเรื่องที่ เซเลนสกี กับ ซานุจนี เกิดความบาดหมางกัน เหตุผลข้ออ้างที่จะประธานาธิบดีจะนำมาใช้ปลดแม่ทัพใหญ่ที่สุดของเขาคราวนี้ น่าจะเป็นเรื่องความสูญเสียทั้งในและรอบๆ เมืองอัฟดิอิฟกา (Avdiivka) [1] ซึ่งเป็นที่มั่นทางทหารของยูเครนที่อยู่เหนือขึ้นไปนิดเดียวจากเมืองโดเนตสก์ (Donetsk) (เมืองเอกของแคว้นชื่อเดียวกัน โดยที่แคว้นโดเนตสก์ และแคว้นลูฮันสก์ Luhansk ซึ่งอยู่ติดต่อกัน รวมกันแล้วคือภูมิภาคดอนบาส Donbas - ผู้แปล ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Donbas) ข่าวลือที่ว่านี้ระบุว่า ผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งให้ขึ้นมาแทนที่ซานุจนี คือ คีรีโล บูดานอฟ (Kyrylo Budanov) ผู้อำนวยการกรมใหญ่การข่าวกรอง สังกัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งรับผิดชอบด้านข่าวกรองทางฝ่ายทหาร
รายงานจากภาคสนามหลายๆ ชิ้นแสดงให้เห็นว่า ฝ่ายรัสเซียสามารถบุกคืบหน้าในบริเวณส่วนใต้ของอัฟดิอิฟกา โดยกำลังทำลายคูสนามเพลาะและปราการเครื่องกีดขวางจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้การปฏิบัติการของฝ่ายรัสเซียเวลานี้กำลังเกิดโมเมนตัมและมีความแข็งแกร่ง เนื่องจากได้กำลังทหารใหม่ๆ ไหลบ่าเข้าสู่การสู้รบ
แทบไม่มีข้อสงสัยเลยว่ารัสเซียจะประสบความสำเร็จ ขณะที่กองทัพยูเครนอาจจะพยายามชะลอการรุกของฝ่ายรัสเซียได้บ้าง แต่พวกเขาขาดไร้ความสามารถใดๆ ที่จะหยุดยั้งทัพรัสเซียให้อยู่หมัด ถ้ายูเครนพยายามนำเอากองกำลังเพิ่มเติมเข้ามาเพื่อเพิ่มโอกาสของพวกเขาแล้ว มันก็จะกลายเป็นการเปิดตัวเองให้เกิดช่องโหว่แล้วแต่ว่าฝ่ายรัสเซียจะถือโอกาสคุกคามตรงจุดไหนตามแนวเส้นการปะทะระหว่างกองทัพสองฝ่าย
อัฟดิอิฟกา ไม่ว่าจะมีความสำคัญอย่างไรก็ตามที สำหรับกรณีนี้มันก็จะเป็นเพียงข้ออ้างสำหรับเซเลนสกีเท่านั้น เขาจำเป็นต้องได้คนที่จงรักภักดีมาอยู่แวดล้อมตัวเขา ขณะที่สถานการณ์ของเขากำลังล่อแหลมตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ พวกพันธมิตรชาวยุโรปและชาวอเมริกันของเขา ผู้ซึ่งยังคงพูดว่าพวกเขาต้องการที่จะมอบความช่วยเหลือที่เขาต้องการไม่ว่าจะเป็นด้านอาวุธหรือเรื่องการเงินก็ตามทีนั้น แท้ที่จริงมีความเข้าอกเข้าใจเป็นอันดีว่ายูเครนไม่สามารถที่จะยืนหยัดต้านทานแรงบีบคั้นทางทหารของฝ่ายรัสเซียได้
นี่คือเหตุผลที่ทำไมเวลานี้ยุโรปจึงกำลังอยู่ในอาการแตกตื่น และวอชิงตันก็กำลังเสาะแสวงนโยบายใหม่ ยุโรปนั้นเชื่อว่าถ้ารัสเซียชนะในยูเครน อย่างที่เวลานี้ดูเหมือนมันจะเป็นอย่างนั้นแล้ว ยุโรปก็จะถูกคุกคามจากรัสเซีย โดยที่ยุโรปยังไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือ
ทั้งพวกนายใหญ่ขององค์การนาโต ตลอดจนพวกนักการเมือง [2] ในเยอรมนี, สวีเดน, ฮอลแลนด์, เอสโตเนีย, โปแลนด์, และที่อื่นๆ ต่างกำลังส่งเสียงอึกทึกเรียกร้องให้เพิ่มการป้องกันต่างๆ ของนาโตให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
การซ้อมรบที่ใช้เวลายาวนานเกือบๆ 5 เดือนของนาโต โดยเริ่มขึ้นในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ คือความพยายามที่จะสาธิตให้รัสเซียเห็นว่านาโตจะยืนหยัดและเข้าต่อสู้ ทว่าการซ้อมรบคราวนี้ก็อาจจะแสดงให้ฝ่ายรัสเซียมองเห็นเช่นกันว่าพวกเขาจำเป็นต้องทำอะไรบ้างหากการสู้รบขัดแย้งกันเกิดระเบิดขึ้นมาจริงๆ
การซ้อมรบของนาโตครั้งนี้ซึ่งกล่าวกันว่ามีกำลังทหารเข้าร่วม 90,000 คน ได้รับการขนานนามอย่างอวดโอ่ว่า การปฏิบัติการ “ผู้พิทักษ์ที่แน่วแน่มั่นคง” (Steadfast Defender) [3] และถูกตั้งสมมุติฐานเอาไว้ว่ามันจะหนุนเสริมแนวคิดที่ว่านาโตคือองค์การซึ่งสามารถพึ่งพาอาศัยได้ ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นไปอีก เวลาเดียวกัน ฝ่ายรัสเซียได้ยกเลิกการซ้อมรบขนาดใหญ่ของพวกเขาเอง [4] ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า ซาปาด (Zapad แปลว่า West ตะวันตก) ชื่อนี้ถือได้ว่าเป็นการส่งข้อความที่ยุโรปมีความเข้าอกเข้าใจกันดี รัสเซียตอนนี้ให้เหตุผลที่ระงับการซ้อมรบนี้ไปว่า เนื่องจากต้องโฟกัสกับเรื่องการฝึกทหารใหม่ทั้งของกองทัพบก, เรือ, และอากาศ
ยุโรปนั้นแทบไม่มีที่ไหนจะหันไปขอพึ่งพาอาศัยเอาเสียแล้ว เนื่องจากความมั่นคงปลอดภัยของยุโรปเอาแต่พึ่งพาอาศัยสหรัฐฯอย่างสาหัสเหลือเกิน ตั้งแต่ที่สหภาพโซเวียตล้มครืนลงไป และบางทีอาจจะก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ ชาวยุโรปมุ่งโฟกัสที่การใช้จ่ายทางด้านสังคม และแทบไม่มีการลงทุนในพวกโครงการด้านกลาโหมเอาเลย
แล้วที่เลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ พวกเขาจำนวนมากเพิ่งจัดส่งบรรดาวัสดุอุปกรณ์เพื่อการสงครามที่เก็บสำรองเอาไว้ในทางยุทธศาสตร์ของพวกเขาไปให้ยูเครน ทำให้พวกเขาเหลืออยู่เพียงชั้นวางของและโกดังซึ่งว่างเปล่า
ในเยอรมนี ซึ่งถูกทึกทักเอาว่ากำลังสร้างกองทัพของตนขึ้นมาใหม่ภายใต้คำขวัญที่ว่า “Zeitenwende” (การเปลี่ยนยุคสมัย) รัฐบาลของแดนดอยช์กลับกำลังปล้นเอาเงินออกมาจากงบประมาณเพื่อการนี้ที่มีจำนวน 108,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อนำไปให้แก่ยูเครนทั้งในรูปเงินทองและในรูปอาวุธยุทโธปกรณ์
ขณะที่รัสเซียดูเหมือนจะออกคำสั่งให้พวกบริษัทผลิตสินค้ากลาโหมของตนต้องเพิ่มกะทำงานให้มากขึ้นเพื่อการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลาย [5] ในยุโรป [6] หรือในสหรัฐฯ [7]กลับแทบไม่มีการขยับอะไรกันเลย ในทิศทางมุ่งหน้าสู่การผลิตให้ได้เพิ่มมากขึ้นอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน [8]
ตรงกันข้าม กลับมีทั้งปัญหาขาดแรงแรงงาน, ประเด็นด้านห่วงโซ่อุปทาน, และออร์เดอร์ด้านจัดซื้อจัดจ้างที่เดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า เวลาเดียวกัน สหรัฐฯเองก็ได้ปล่อยเอายุทธปัจจัยใช้สู้รบทำสงครามซึ่งมีความสำคัญยิ่งยวดของตนแทบทั้งหมดไปให้แก่ยูเครน เหลือทิ้งเอาไว้แต่ความไม่แน่นอนขนาดใหญ่โตยิ่งที่ว่า อเมริกาจะสามารถช่วยเหลือยุโรปให้รอดชีวิตได้หรือไม่ กระทั่งในกรณีที่ถ้าหากอเมริกามีความต้องการที่จะทำเช่นนั้น
ยกเอาออกไปก่อน เรื่องความน่าเชื่อถือ --หรือที่จริงควรต้องพูดให้ถูกต้องมากขึ้นว่า การขาดไร้ความน่าเชื่อถือ --เกี่ยวกับเรื่องภัยคุกคามของรัสเซียที่กำลังจะถาโถมเข้าใส่ยุโรปอยู่รอมร่อแล้ว ขณะนี้สหรัฐฯเองก็กำลังเปลี่ยนแปลงนโยบายของพวกเขา และกำลังยอมรับว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะเป็นผู้ชนะในการทำสงครามตามแบบแผนปกติ (conventional war นั่นคือไม่มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์) กับรัสเซีย (ซึ่งยังมีความหมายต่อไปด้วยว่า สหรัฐฯไม่สามารถเป็นผู้ชนะเช่นกัน ในการทำสงครามตามแบบแผนปกติกับจีน และบางทีอาจจะกระทั่งกับอิหร่าน หรือพวกตัวเล็กตัวจิ๋วอย่างพวกฮูตี)
ทั้งหมดเหล่านี้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในอิรัก ซึ่งฐานทัพต่างๆ และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ของสหรัฐฯกำลังถูกบอมบ์อยู่เป็นประจำ [9] จากพวกกองกำลังอาวุธท้องถิ่นทั้งหลายของอิหร่าน โดยที่ได้รับคำสั่งจากเตหะราน เป้าหมายของพวกเขาคือเพื่อทำให้กองทหารสหรัฐฯถอยออกจากอิรักและซีเรีย ซึ่งเมื่อกระทำเช่นนี้ได้สำเร็จ มันก็จะเป็นเครื่องสาธิตให้เห็นว่าสหรัฐฯนั้นไว้เนื้อเชื่อใจไม่ได้และไม่เหมาะแก่การไปพึ่งพาอาศัย
สำหรับนโยบายใหม่ในเรื่องยูเครนของสหรัฐฯนั้น กำลังปรากฏให้เห็นในระยะไม่กี่เดือนหลังๆ นี้ ถ้าหากเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว นโยบายนี้วางแผนขึ้นมาเพื่อรับมือกับความเป็นจริงใหม่ที่ว่ายูเครนจะประสบความปราชัยในสงคราม และรัฐบาลของยูเครนอาจจำเป็นต้องอพยพออกไปจากกรุงเคียฟ การแต่งตั้งให้ บูดานอฟ เข้ามีอำนาจควบคุมในทางพฤตินัย ซึ่งรวมถึงการโยกย้ายเมืองหลวงของยูเครน บางทีอาจจะไปอยู่ที่เมืองลวิฟ (Lviv เมืองใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตกของยูเครน) คือรากฐานของนโยบายนี้
ในแง่ของการปฏิบัติการ นโยบายนี้น่าที่จะใช้การปฏิบัติการของหน่วยรบพิเศษ, การลอบสังหาร, การวางระเบิด, และเครื่องมือวิธีการอื่นๆ รวมทั้งเป็นไปได้ว่าอาจมีการระเบิดทิ้งเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เพื่อเป็นการลงโทษฝ่ายรัสเซียและทำให้พวกเขาอยู่ในอาการเสียศูนย์
เซเลนสกี กำลังจัดเตรียมเวทีในเรื่องนี้เอาไว้แล้ว [11] ด้วยการออกมาแถลงว่ารัสเซียจะระเบิดทิ้งเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฝ่ายรัสเซียมีความตระหนักเป็นอย่างดีว่า เป้าหมายที่จะถูกเล่นงานจะเป็นเตาปฏิกรณ์ในภาคตะวันตกของรัสเซีย และหน่วยวินาศกรรมชาวยูเครนจะเป็นผู้รับมอบหมายให้ดำเนินภารกิจนี้
สำหรับวอชิงตันแล้ว มีเรื่องที่จำเป็นต้องทำให้เกิดขึ้นมาให้จงได้อยู่ 3 ประการด้วยกัน อย่างแรกคือต้องสามารถทำให้สงครามครั้งนี้ดำเนินต่อไป และจะได้เรียกร้องเงินทองงบประมาณจากรัฐสภาต่อไปด้วย นี่เป็นเรื่องยากทีเดียว เพราะถ้ายูเครนกำลังล้มครืนเสียแล้ว มันย่อมลำบากที่จะให้รัฐสภายอมเสียเงินเพื่อเข้ามีส่วนร่วมในแผนการที่กำลังพ่ายแพ้
ความเป็นจริงน่าจะเป็นว่า คณะบริหารไบเดนนั้นก็ไม่คาดหมายหรอกว่าคองเกรสจะยอมควักกระเป๋าออกเงินเพิ่มให้อีกเป็นพันๆ ล้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากมันแทบเป็นการแน่นอนแล้วว่าจะเป็นการใช้จ่ายเพื่อวัตถุประสงค์ที่ไร้ค่า สิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างแท้จริงน่าจะเป็นการถือโอกาสกล่าวโทษโบ้ยความผิดไปที่รัฐสภาและพวกรีพับลิกันสำหรับการสูญเสียยูเครน
เรื่องที่วอชิงตันจำเป็นต้องทำให้เกิดขึ้นมาประการที่สอง ได้แก่การประคับประคองให้มีรัฐบาลยูเครนแนวทางโปรตะวันตกซึ่งยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป แม้กระทั่งว่ารัฐบาลดังกล่าวนี้ต้องยอมทิ้งกรุงเคียฟก็ตามที นี่ยังหมายความต่อไปด้วยว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันจะต้องรอดชีวิตต่อไปในทางการเมือง เพราะถ้าเกิดการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลนี้ลงเสียแล้ว เดิมพันทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นอันล่มสลายไปหมด
ดังนั้น วอชิงตันจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้เกิดการล่มสลายทางการเมือง นี่เป็นเรื่องยากลำบากที่จะทำให้สำเร็จ เพราะชาวยูเครนย่อมรู้สึกไม่พอใจ (ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจได้) หรือพูดให้ถูกต้องยิ่งขึ้นก็ควรบอกว่ารู้สึกทุกข์ยากเดือดร้อน ในเมื่อผู้ชายทั้งหนุ่มทั้งชราถูกบังคับให้สู้รบในสงครามที่กำลังพ่ายแพ้ และพวกเขาจำนวนมากจะไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน
เรื่องจำเป็นที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นประการที่สาม ได้แก่การหาทางทำให้รัสเซียถูกกีดกันออกจากยุโรปต่อไป นี่หมายความว่าต้องหาทางทำให้พวกประเทศยุโรปทั้งหลายไม่หันไปทำดีลของพวกเขาเองกับมอสโก ในเมื่อเคียฟล้มไปแล้ว ก็ให้ยุโรปและนาโต้ล้มไปด้วยเถอะ
ถ้าหากฝ่ายรัสเซียสามารถที่จะตั้งรัฐบาลโปรรัสเซียขึ้นในกรุงเคียฟได้ พวกชาติยุโรปก็จำเป็นจะต้องหาทางออกที่สามารถปฏิบัติได้ สำหรับการใช้ชีวิตอยู่กับมอสโก ตัวแสดงสำคัญที่สุดของยุโรปก็คือเยอรมนี และรัฐบาลชุดปัจจุบันของเยอรมันแสดงท่าทีว่าจะไม่ยอมพูดจากับรัสเซีย อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่ในขณะนี้ แต่นี่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตอันใกล้
ถ้ายูเครนล้มครืน เยอรมนีมีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายของตน หนทางง่ายที่สุดสำหรับรัฐบาลของเยอรมนีที่จะเปลี่ยนทิศทางคือการประณามสหรัฐฯว่าเป็นตัวการรับผิดชอบเหตุการณ์อะไรบางอย่าง อย่างเช่น การทำลายสายท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีม (Nord Stream pipeline) นี่จะกลายเป็นการเปิดประตูไปสู่การสนทนากับปูติน
สตีเฟน ไบรเอนเคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเจ้าหน้าที่ของคณะอนุกรรมการตะวันออกใกล้ แห่งคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมทั้งเคยเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหมด้านนโยบายของสหรัฐฯ ปัจจุบันเป็นนักวิจัยอาวุโสอยู่ที่ Center for Security Policy และ Yorktown Institute
ข้อเขียนนี้หนแรกสุดเผยแพร่อยู่ใน Weapons and Strategy ที่เป็นบล็อกบนแพลตฟอร์ม Substack ของผู้เขียน
เชิงอรรถ
[1] https://www.youtube.com/watch?v=qPhSPMEzFCA
[2] https://www.youtube.com/watch?v=qPhSPMEzFCA
[3]https://en.wikipedia.org/wiki/Steadfast_Defender_2024
[4] https://www.rferl.org/a/russia-military-zapad-canceled/32578271.html
[5] https://www.rferl.org/a/russia-ramping-up-war-production/32658857.html
[6]https://www.wsj.com/world/europe/alarm-nato-weak-military-empty-arsenals-europe-a72b23f4
[7]https://www.airandspaceforces.com/new-defense-industrial-base-strategy-long-recovery/
[8]https://www.clingendael.org/publication/european-defence-industry-urgent-action-needed
[9] https://www.voanews.com/a/us-forces-attacked-151-times-in-iraq-syria-during-biden-presidency-/7360366.html
[10]https://twitter.com/ZelenskyyUa/status/1671805650106474497