xs
xsm
sm
md
lg

‘เซเลนสกี’อาจปลด‘ซานุจซี’ผบ.ทัพยูเครนเร็วๆ นี้ ขณะรบ.ของเขาเตรียมตัวรับสภาพ ‘พ่ายศึก’รัสเซีย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สตีเฟน ไบรเอน


ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน (ซ้าย) กำลังจะปลดผู้บัญชาการกองทัพของเขา พลเอกวาเลรี ซานุจนี (กลาง) เป็นข่าวลือที่แพร่สะพัดอยู่ในกรุงเคียฟเวลานี้ (ภาพจากแฟ้มภาพนี้ถ่ายและเผยแพร่โดยสำนักประธานาธิบดียูเครน)
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

Ukraine: Zelensky may soon oust military chief Zaluzhny
By STEPHEN BRYEN
23/01/2024

ลือกันหนาหูว่าประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน กำลังจะเปลี่ยนตัวผู้บัญชาการกองทัพของเขา โดยถอดเอา วาเลรี ซานุจนี ออก แล้วเอา คีรีโล บูดานอฟ เจ้ากรมข่าวกรองทหาร ขึ้นแทนที่ ขณะที่รัฐบาลของเขาซึ่งถังแตกและขาดแคลนอาวุธยุทโธปกรณ์เพราะความช่วยเหลือจากฝ่ายตะวันตกกำลังสะดุดติดขัด มีการตระเตรียมรับมือกับการพ่ายแพ้สงครามสู้รัสเซีย โดยมีข่าวว่าอาจจะทิ้งเมืองหลวงเคียฟ ถอยร่นไปทางภาคตะวันตกมากยิ่งขึ้น

ข่าวลือกำลังแพร่สะพัดอยู่ในกรุงเคียฟว่า ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน กำลังจะปลด พลเอกวาเลรี ซานุจนี (General Valerii Zaluzhny) ออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการของกองทัพยูเครน

มีรายงานมาพักใหญ่แล้วเรื่องที่ เซเลนสกี กับ ซานุจนี เกิดความบาดหมางกัน เหตุผลข้ออ้างที่จะประธานาธิบดีจะนำมาใช้ปลดแม่ทัพใหญ่ที่สุดของเขาคราวนี้ น่าจะเป็นเรื่องความสูญเสียทั้งในและรอบๆ เมืองอัฟดิอิฟกา (Avdiivka) [1] ซึ่งเป็นที่มั่นทางทหารของยูเครนที่อยู่เหนือขึ้นไปนิดเดียวจากเมืองโดเนตสก์ (Donetsk) (เมืองเอกของแคว้นชื่อเดียวกัน โดยที่แคว้นโดเนตสก์ และแคว้นลูฮันสก์ Luhansk ซึ่งอยู่ติดต่อกัน รวมกันแล้วคือภูมิภาคดอนบาส Donbas - ผู้แปล ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Donbas) ข่าวลือที่ว่านี้ระบุว่า ผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งให้ขึ้นมาแทนที่ซานุจนี คือ คีรีโล บูดานอฟ (Kyrylo Budanov) ผู้อำนวยการกรมใหญ่การข่าวกรอง สังกัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งรับผิดชอบด้านข่าวกรองทางฝ่ายทหาร

รายงานจากภาคสนามหลายๆ ชิ้นแสดงให้เห็นว่า ฝ่ายรัสเซียสามารถบุกคืบหน้าในบริเวณส่วนใต้ของอัฟดิอิฟกา โดยกำลังทำลายคูสนามเพลาะและปราการเครื่องกีดขวางจำนวนหนึ่ง ทั้งนี้การปฏิบัติการของฝ่ายรัสเซียเวลานี้กำลังเกิดโมเมนตัมและมีความแข็งแกร่ง เนื่องจากได้กำลังทหารใหม่ๆ ไหลบ่าเข้าสู่การสู้รบ

แทบไม่มีข้อสงสัยเลยว่ารัสเซียจะประสบความสำเร็จ ขณะที่กองทัพยูเครนอาจจะพยายามชะลอการรุกของฝ่ายรัสเซียได้บ้าง แต่พวกเขาขาดไร้ความสามารถใดๆ ที่จะหยุดยั้งทัพรัสเซียให้อยู่หมัด ถ้ายูเครนพยายามนำเอากองกำลังเพิ่มเติมเข้ามาเพื่อเพิ่มโอกาสของพวกเขาแล้ว มันก็จะกลายเป็นการเปิดตัวเองให้เกิดช่องโหว่แล้วแต่ว่าฝ่ายรัสเซียจะถือโอกาสคุกคามตรงจุดไหนตามแนวเส้นการปะทะระหว่างกองทัพสองฝ่าย

อัฟดิอิฟกา ไม่ว่าจะมีความสำคัญอย่างไรก็ตามที สำหรับกรณีนี้มันก็จะเป็นเพียงข้ออ้างสำหรับเซเลนสกีเท่านั้น เขาจำเป็นต้องได้คนที่จงรักภักดีมาอยู่แวดล้อมตัวเขา ขณะที่สถานการณ์ของเขากำลังล่อแหลมตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ พวกพันธมิตรชาวยุโรปและชาวอเมริกันของเขา ผู้ซึ่งยังคงพูดว่าพวกเขาต้องการที่จะมอบความช่วยเหลือที่เขาต้องการไม่ว่าจะเป็นด้านอาวุธหรือเรื่องการเงินก็ตามทีนั้น แท้ที่จริงมีความเข้าอกเข้าใจเป็นอันดีว่ายูเครนไม่สามารถที่จะยืนหยัดต้านทานแรงบีบคั้นทางทหารของฝ่ายรัสเซียได้

นี่คือเหตุผลที่ทำไมเวลานี้ยุโรปจึงกำลังอยู่ในอาการแตกตื่น และวอชิงตันก็กำลังเสาะแสวงนโยบายใหม่ ยุโรปนั้นเชื่อว่าถ้ารัสเซียชนะในยูเครน อย่างที่เวลานี้ดูเหมือนมันจะเป็นอย่างนั้นแล้ว ยุโรปก็จะถูกคุกคามจากรัสเซีย โดยที่ยุโรปยังไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือ

ทั้งพวกนายใหญ่ขององค์การนาโต ตลอดจนพวกนักการเมือง [2] ในเยอรมนี, สวีเดน, ฮอลแลนด์, เอสโตเนีย, โปแลนด์, และที่อื่นๆ ต่างกำลังส่งเสียงอึกทึกเรียกร้องให้เพิ่มการป้องกันต่างๆ ของนาโตให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

การซ้อมรบที่ใช้เวลายาวนานเกือบๆ 5 เดือนของนาโต โดยเริ่มขึ้นในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ คือความพยายามที่จะสาธิตให้รัสเซียเห็นว่านาโตจะยืนหยัดและเข้าต่อสู้ ทว่าการซ้อมรบคราวนี้ก็อาจจะแสดงให้ฝ่ายรัสเซียมองเห็นเช่นกันว่าพวกเขาจำเป็นต้องทำอะไรบ้างหากการสู้รบขัดแย้งกันเกิดระเบิดขึ้นมาจริงๆ

การซ้อมรบของนาโตครั้งนี้ซึ่งกล่าวกันว่ามีกำลังทหารเข้าร่วม 90,000 คน ได้รับการขนานนามอย่างอวดโอ่ว่า การปฏิบัติการ “ผู้พิทักษ์ที่แน่วแน่มั่นคง” (Steadfast Defender) [3] และถูกตั้งสมมุติฐานเอาไว้ว่ามันจะหนุนเสริมแนวคิดที่ว่านาโตคือองค์การซึ่งสามารถพึ่งพาอาศัยได้ ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นไปอีก เวลาเดียวกัน ฝ่ายรัสเซียได้ยกเลิกการซ้อมรบขนาดใหญ่ของพวกเขาเอง [4] ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า ซาปาด (Zapad แปลว่า West ตะวันตก) ชื่อนี้ถือได้ว่าเป็นการส่งข้อความที่ยุโรปมีความเข้าอกเข้าใจกันดี รัสเซียตอนนี้ให้เหตุผลที่ระงับการซ้อมรบนี้ไปว่า เนื่องจากต้องโฟกัสกับเรื่องการฝึกทหารใหม่ทั้งของกองทัพบก, เรือ, และอากาศ

การซ้อมรบที่มีชื่อว่า การปฏิบัติการ “ผู้พิทักษ์ที่แน่วแน่มั่นคง 2024” (Steadfast Defender 2024) ขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ถือเป็นการซ้อมรบที่มีขนาดใหญ่โตกว้างขวางที่สุดของนาโตในรอบระยะเวลาหลายสิบปี กำหนดเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 24 มกราคม ด้วยการที่เรือรบ ยูเอสเอส กันสตัน ฮอลล์ (USS Gunston Hall) ซึ่งเป็นเรืออู่ยกพลขึ้นบก (dock landing ship)ของกองทัพเรือสหรัฐฯ แล่นออกจากฐานทัพเรือนอร์โฟล์ก รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐฯ นำกำลังพลมุ่งหน้าไปขึ้นฝั่งที่ภาคพื้นยุโรป จากนั้นติดตามมาด้วยการฝึกซ้อมซึ่งกระทำตามสถานที่ต่างๆ ทั่วทั้งยุโรป รวม 18 การปฏิบัติการ โดยจะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 พฤษภาคม การซ้อมรบ “ผู้พิทักษ์ฯ 24” มีชาติสมาชิกนาโตทั้งหมดบวกด้วยสวีเดนรวมแล้ว 31 ชาติเข้าร่วม ใช้กำลังทหารกว่า 90,000 คน  และมีรายงานว่าใช้เรือชนิดต่างๆ กว่า 50 ลำ, เครื่องบินรบ เฮลิคอปเตอร์ และโดรน กว่า 80 ลำ, ยานสู้รบอย่างน้อย 1,100 คัน ในจำนวนนี้เป็นรถถัง 133 คัน และยานสู้รบทหารราบ 533 คัน (ในภาพนี้ซึ่งถ่ายและเผยแพร่โดยกองทัพเรือสหรัฐฯ  ยูเอสเอส กันสตัน ฮอลล์ เดินทางออกจากสถานีทหารเรือนอร์โฟล์ก ในวันที่ 24 มกราคม) (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย https://en.wikipedia.org/wiki/Steadfast_Defender_2024)
ยุโรปนั้นแทบไม่มีที่ไหนจะหันไปขอพึ่งพาอาศัยเอาเสียแล้ว เนื่องจากความมั่นคงปลอดภัยของยุโรปเอาแต่พึ่งพาอาศัยสหรัฐฯอย่างสาหัสเหลือเกิน ตั้งแต่ที่สหภาพโซเวียตล้มครืนลงไป และบางทีอาจจะก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ ชาวยุโรปมุ่งโฟกัสที่การใช้จ่ายทางด้านสังคม และแทบไม่มีการลงทุนในพวกโครงการด้านกลาโหมเอาเลย

แล้วที่เลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ พวกเขาจำนวนมากเพิ่งจัดส่งบรรดาวัสดุอุปกรณ์เพื่อการสงครามที่เก็บสำรองเอาไว้ในทางยุทธศาสตร์ของพวกเขาไปให้ยูเครน ทำให้พวกเขาเหลืออยู่เพียงชั้นวางของและโกดังซึ่งว่างเปล่า

ในเยอรมนี ซึ่งถูกทึกทักเอาว่ากำลังสร้างกองทัพของตนขึ้นมาใหม่ภายใต้คำขวัญที่ว่า “Zeitenwende” (การเปลี่ยนยุคสมัย) รัฐบาลของแดนดอยช์กลับกำลังปล้นเอาเงินออกมาจากงบประมาณเพื่อการนี้ที่มีจำนวน 108,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อนำไปให้แก่ยูเครนทั้งในรูปเงินทองและในรูปอาวุธยุทโธปกรณ์

ขณะที่รัสเซียดูเหมือนจะออกคำสั่งให้พวกบริษัทผลิตสินค้ากลาโหมของตนต้องเพิ่มกะทำงานให้มากขึ้นเพื่อการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลาย [5] ในยุโรป [6] หรือในสหรัฐฯ [7]กลับแทบไม่มีการขยับอะไรกันเลย ในทิศทางมุ่งหน้าสู่การผลิตให้ได้เพิ่มมากขึ้นอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน [8]

ตรงกันข้าม กลับมีทั้งปัญหาขาดแรงแรงงาน, ประเด็นด้านห่วงโซ่อุปทาน, และออร์เดอร์ด้านจัดซื้อจัดจ้างที่เดินหน้าไปอย่างเชื่องช้า เวลาเดียวกัน สหรัฐฯเองก็ได้ปล่อยเอายุทธปัจจัยใช้สู้รบทำสงครามซึ่งมีความสำคัญยิ่งยวดของตนแทบทั้งหมดไปให้แก่ยูเครน เหลือทิ้งเอาไว้แต่ความไม่แน่นอนขนาดใหญ่โตยิ่งที่ว่า อเมริกาจะสามารถช่วยเหลือยุโรปให้รอดชีวิตได้หรือไม่ กระทั่งในกรณีที่ถ้าหากอเมริกามีความต้องการที่จะทำเช่นนั้น

ยกเอาออกไปก่อน เรื่องความน่าเชื่อถือ --หรือที่จริงควรต้องพูดให้ถูกต้องมากขึ้นว่า การขาดไร้ความน่าเชื่อถือ --เกี่ยวกับเรื่องภัยคุกคามของรัสเซียที่กำลังจะถาโถมเข้าใส่ยุโรปอยู่รอมร่อแล้ว ขณะนี้สหรัฐฯเองก็กำลังเปลี่ยนแปลงนโยบายของพวกเขา และกำลังยอมรับว่าพวกเขาไม่สามารถที่จะเป็นผู้ชนะในการทำสงครามตามแบบแผนปกติ (conventional war นั่นคือไม่มีการใช้อาวุธนิวเคลียร์) กับรัสเซีย (ซึ่งยังมีความหมายต่อไปด้วยว่า สหรัฐฯไม่สามารถเป็นผู้ชนะเช่นกัน ในการทำสงครามตามแบบแผนปกติกับจีน และบางทีอาจจะกระทั่งกับอิหร่าน หรือพวกตัวเล็กตัวจิ๋วอย่างพวกฮูตี)

ทั้งหมดเหล่านี้สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในอิรัก ซึ่งฐานทัพต่างๆ และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ของสหรัฐฯกำลังถูกบอมบ์อยู่เป็นประจำ [9] จากพวกกองกำลังอาวุธท้องถิ่นทั้งหลายของอิหร่าน โดยที่ได้รับคำสั่งจากเตหะราน เป้าหมายของพวกเขาคือเพื่อทำให้กองทหารสหรัฐฯถอยออกจากอิรักและซีเรีย ซึ่งเมื่อกระทำเช่นนี้ได้สำเร็จ มันก็จะเป็นเครื่องสาธิตให้เห็นว่าสหรัฐฯนั้นไว้เนื้อเชื่อใจไม่ได้และไม่เหมาะแก่การไปพึ่งพาอาศัย

สำหรับนโยบายใหม่ในเรื่องยูเครนของสหรัฐฯนั้น กำลังปรากฏให้เห็นในระยะไม่กี่เดือนหลังๆ นี้ ถ้าหากเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว นโยบายนี้วางแผนขึ้นมาเพื่อรับมือกับความเป็นจริงใหม่ที่ว่ายูเครนจะประสบความปราชัยในสงคราม และรัฐบาลของยูเครนอาจจำเป็นต้องอพยพออกไปจากกรุงเคียฟ การแต่งตั้งให้ บูดานอฟ เข้ามีอำนาจควบคุมในทางพฤตินัย ซึ่งรวมถึงการโยกย้ายเมืองหลวงของยูเครน บางทีอาจจะไปอยู่ที่เมืองลวิฟ (Lviv เมืองใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตกของยูเครน) คือรากฐานของนโยบายนี้

คีรีโล บูดานอฟ ผู้อำนวยการกรมใหญ่การข่าวกรอง (Main Intelligence Directorate)  สังกัดกระทรวงกลาโหมยูเครน (กลาง) ขณะเข้าร่วมงานระลึกวาระครบรอบ 1 ปีที่รัสเซียทำสงครามรุกรานยึดครองยูเครน ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเคียฟ ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2023  ทั้งนี้ บูดานอฟ ในวัย 38 ปี (เกิดเดือนมกราคม 1986) เวลานี้มียศทางทหารเป็นพลโท เขาได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดีเซเลนสกี ให้เป็นนายใหญ่คุมงานข่าวกรองทางทหารนี้ในเดือนสิงหาคม 2020 (ภาพนี้เผยแพร่โดยสำนักประธานาธิบดียูเครน)  ตามประวัติระบุว่า บูดานอฟ สำเร็จการศึกษาจากสถาบันกองกำลังภาคพื้นดินโอเดสซา (Odesa Institute of the Ground Forces) ของยูเครน ในปี 2007 และเริ่มต้นอาชีพการเป็นทหารในกองกำลังรบพิเศษสังกัดกรมใหญ่การข่าวกรอง ในปี 2014 เขาเข้าร่วมในสงครามสู้รบกับกองกำลังโปรรัสเซียที่ดอนบาส และได้รับบาดเจ็บหลายครั้ง  ต่อมาในช่วงปี 2018-2020 เขาเข้าร่วมงานปฏิบัติการพิเศษ ซึ่งไม่มีการเปิดเผยว่าทำอะไรบ้าง  มีรายงานข่าวเมื่อเดือนเมษายน 2019 ว่ารถยนต์เชฟโรเลต อีแวนดา ของบูดานอฟ ถูกวางระเบิดโดยคนร้ายชาวรัสเซีย โดยที่ในอีกหลายปีต่อมาโฆษกของฝ่ายข่าวกรองทหารยูเครนได้แถลงในปี 2023 ว่า บูดานอฟถูกพยายามลอบสังหารมามากกว่า 10 ครั้ง กระทั่งภรรยาของเขา มาเรียนนา บูดาโนวา ก็ถูกวางยาพิษที่อยู่ในรูปโลหะหนัก ซึ่งบางทีอาจจะผสมอยู่ในอาหาร ขณะเจ้าหน้าที่หลายคนในหน่วยงานของบูดานอฟก็มีอาการถูกพิษอย่างอ่อนๆ  เมื่อถึงปี 2020 บูดานอฟได้ขึ้นเป็นรองผู้อำนวยการของกรมๆ หนึ่งที่สังกัดอยู่กับสำนักงานข่าวกรองต่างประเทศของยูเครน (Foreign Intelligence Service of Ukraine) ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรองของรัฐบาลยูเครน ทำหน้าที่ดำเนินกิจกรรมข่าวกรองด้านต่างๆ โดยขึ้นตรงต่อประธานาธิบดี  จากนั้นในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน ก็ได้ขึ้นเป็นผู้อำนวยการกรมใหญ่การข่าวกรอง (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย https://en.wikipedia.org/wiki/Kyrylo_Budanov)
ในแง่ของการปฏิบัติการ นโยบายนี้น่าที่จะใช้การปฏิบัติการของหน่วยรบพิเศษ, การลอบสังหาร, การวางระเบิด, และเครื่องมือวิธีการอื่นๆ รวมทั้งเป็นไปได้ว่าอาจมีการระเบิดทิ้งเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เพื่อเป็นการลงโทษฝ่ายรัสเซียและทำให้พวกเขาอยู่ในอาการเสียศูนย์

เซเลนสกี กำลังจัดเตรียมเวทีในเรื่องนี้เอาไว้แล้ว [11] ด้วยการออกมาแถลงว่ารัสเซียจะระเบิดทิ้งเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฝ่ายรัสเซียมีความตระหนักเป็นอย่างดีว่า เป้าหมายที่จะถูกเล่นงานจะเป็นเตาปฏิกรณ์ในภาคตะวันตกของรัสเซีย และหน่วยวินาศกรรมชาวยูเครนจะเป็นผู้รับมอบหมายให้ดำเนินภารกิจนี้

สำหรับวอชิงตันแล้ว มีเรื่องที่จำเป็นต้องทำให้เกิดขึ้นมาให้จงได้อยู่ 3 ประการด้วยกัน อย่างแรกคือต้องสามารถทำให้สงครามครั้งนี้ดำเนินต่อไป และจะได้เรียกร้องเงินทองงบประมาณจากรัฐสภาต่อไปด้วย นี่เป็นเรื่องยากทีเดียว เพราะถ้ายูเครนกำลังล้มครืนเสียแล้ว มันย่อมลำบากที่จะให้รัฐสภายอมเสียเงินเพื่อเข้ามีส่วนร่วมในแผนการที่กำลังพ่ายแพ้

ความเป็นจริงน่าจะเป็นว่า คณะบริหารไบเดนนั้นก็ไม่คาดหมายหรอกว่าคองเกรสจะยอมควักกระเป๋าออกเงินเพิ่มให้อีกเป็นพันๆ ล้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากมันแทบเป็นการแน่นอนแล้วว่าจะเป็นการใช้จ่ายเพื่อวัตถุประสงค์ที่ไร้ค่า สิ่งที่พวกเขาต้องการอย่างแท้จริงน่าจะเป็นการถือโอกาสกล่าวโทษโบ้ยความผิดไปที่รัฐสภาและพวกรีพับลิกันสำหรับการสูญเสียยูเครน

เรื่องที่วอชิงตันจำเป็นต้องทำให้เกิดขึ้นมาประการที่สอง ได้แก่การประคับประคองให้มีรัฐบาลยูเครนแนวทางโปรตะวันตกซึ่งยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไป แม้กระทั่งว่ารัฐบาลดังกล่าวนี้ต้องยอมทิ้งกรุงเคียฟก็ตามที นี่ยังหมายความต่อไปด้วยว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันจะต้องรอดชีวิตต่อไปในทางการเมือง เพราะถ้าเกิดการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลนี้ลงเสียแล้ว เดิมพันทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นอันล่มสลายไปหมด

ดังนั้น วอชิงตันจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้เกิดการล่มสลายทางการเมือง นี่เป็นเรื่องยากลำบากที่จะทำให้สำเร็จ เพราะชาวยูเครนย่อมรู้สึกไม่พอใจ (ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจได้) หรือพูดให้ถูกต้องยิ่งขึ้นก็ควรบอกว่ารู้สึกทุกข์ยากเดือดร้อน ในเมื่อผู้ชายทั้งหนุ่มทั้งชราถูกบังคับให้สู้รบในสงครามที่กำลังพ่ายแพ้ และพวกเขาจำนวนมากจะไม่มีโอกาสได้กลับบ้าน

เรื่องจำเป็นที่จะต้องทำให้เกิดขึ้นประการที่สาม ได้แก่การหาทางทำให้รัสเซียถูกกีดกันออกจากยุโรปต่อไป นี่หมายความว่าต้องหาทางทำให้พวกประเทศยุโรปทั้งหลายไม่หันไปทำดีลของพวกเขาเองกับมอสโก ในเมื่อเคียฟล้มไปแล้ว ก็ให้ยุโรปและนาโต้ล้มไปด้วยเถอะ

ถ้าหากฝ่ายรัสเซียสามารถที่จะตั้งรัฐบาลโปรรัสเซียขึ้นในกรุงเคียฟได้ พวกชาติยุโรปก็จำเป็นจะต้องหาทางออกที่สามารถปฏิบัติได้ สำหรับการใช้ชีวิตอยู่กับมอสโก ตัวแสดงสำคัญที่สุดของยุโรปก็คือเยอรมนี และรัฐบาลชุดปัจจุบันของเยอรมันแสดงท่าทีว่าจะไม่ยอมพูดจากับรัสเซีย อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่ในขณะนี้ แต่นี่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตอันใกล้

ถ้ายูเครนล้มครืน เยอรมนีมีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายของตน หนทางง่ายที่สุดสำหรับรัฐบาลของเยอรมนีที่จะเปลี่ยนทิศทางคือการประณามสหรัฐฯว่าเป็นตัวการรับผิดชอบเหตุการณ์อะไรบางอย่าง อย่างเช่น การทำลายสายท่อส่งก๊าซนอร์ดสตรีม (Nord Stream pipeline) นี่จะกลายเป็นการเปิดประตูไปสู่การสนทนากับปูติน

สตีเฟน ไบรเอนเคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเจ้าหน้าที่ของคณะอนุกรรมการตะวันออกใกล้ แห่งคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ รวมทั้งเคยเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหมด้านนโยบายของสหรัฐฯ ปัจจุบันเป็นนักวิจัยอาวุโสอยู่ที่ Center for Security Policy และ Yorktown Institute

ข้อเขียนนี้หนแรกสุดเผยแพร่อยู่ใน Weapons and Strategy ที่เป็นบล็อกบนแพลตฟอร์ม Substack ของผู้เขียน

เชิงอรรถ
[1] https://www.youtube.com/watch?v=qPhSPMEzFCA
[2] https://www.youtube.com/watch?v=qPhSPMEzFCA
[3]https://en.wikipedia.org/wiki/Steadfast_Defender_2024
[4] https://www.rferl.org/a/russia-military-zapad-canceled/32578271.html
[5] https://www.rferl.org/a/russia-ramping-up-war-production/32658857.html
[6]https://www.wsj.com/world/europe/alarm-nato-weak-military-empty-arsenals-europe-a72b23f4
[7]https://www.airandspaceforces.com/new-defense-industrial-base-strategy-long-recovery/
[8]https://www.clingendael.org/publication/european-defence-industry-urgent-action-needed
[9] https://www.voanews.com/a/us-forces-attacked-151-times-in-iraq-syria-during-biden-presidency-/7360366.html
[10]https://twitter.com/ZelenskyyUa/status/1671805650106474497
กำลังโหลดความคิดเห็น