ยูเครนใช้ขีปนาวุธร่อนโจมตีเรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ลำหนึ่งของรัสเซียที่จอดอยู่ในคาบสมุทรไครเมีย เมื่อช่วงกลางคืนย่างเข้าวันอังคาร (25 ธ.ค.) ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 1 คน โดยยังต้องติดตามกันต่อไปว่าเรื่องนี้จะส่งผลเป็นการฉุดรั้งความพยายามใดๆ ของฝ่ายรัสเซียที่จะเข้ายึดดินแดนของยูเครนตามแนวชายฝั่งทะเลดำเพิ่มเติมหรือไม่
ตามรายงานของสำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์ และเว็บไซต์อาร์ที ของแดนหมีขาวเมื่อวันอังคาร (26) กระทรวงกลาโหมรัสเซียได้ออกมาแถลงยอมรับว่า ยูเครนได้ใช้ขีปนาวุธแบบยิงจากอากาศเข้าโจมตีเมืองท่าฟีโอโดเซีย ในคาบสมุทรไครเมีย ทำให้เรือยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ชื่อ โนโวเชอร์คาสสก์ ได้รับความเสียหาย
คำแถลงของกระทรวงกลาโหมรัสเซียบอกด้วยว่า เครื่องบินไอพ่นแบบ ซู-24 ของยูเครนจำนวน 2 ลำซึ่งเป็นผู้ยิงขีปนาวุธใส่เป้าหมายคราวนี้ ได้ถูกอาวุธต่อสู้อากาศยานของฝ่ายรัสเซียยิงตกในบริเวณใกล้ๆ เมืองนิโคลาเอฟ
ส่วน เซียร์เก อัคสโยนอฟ ผู้ว่าการของคาบสมุทรไครเมียซึ่งรัสเซียเข้ายึดจากยูเครนและประกาศผนวกเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตนตั้งแต่ปี 2014 ระบุว่าเหตุโจมตีคราวนี้ทำให้มีผู้ถูกสังหารไป 1 คน ได้รับบาดเจ็บ 2 คน และคลื่นกระแทกจากการระเบิดยังสร้างความเสียหายให้แก่พวกหน้าต่างของอาคารใกล้เคียงหลายหลัง ทว่าโครงสร้างพื้นฐานฝ่ายพลเรือนนอกนั้นไม่เป็นอะไร
ขณะที่ทำเนียบเครมลินแจ้งว่า ทางด้านรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย เซียร์เก ชอยกู ได้บรรยายสรุปให้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ทราบถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการโจมตีครั้งนี้แล้ว
ด้านโฆษกของกองทัพอากาศยูเครน ยูรีย์ อิห์นัต แถลงว่า เขาคิดว่าจะเป็นการลำบากสำหรับเรือโนโวเชอร์คาสสก์ ซึ่งสามารถลำเลียงรถถังและยานเกราะ รวมทั้งถูกใช้ในการส่งกองทหารขึ้นบก จะกลับมาใช้งานได้ใหม่
“เราสามารถเห็นกันได้ว่าแรงระเบิดครั้งนี้ทรงพลังขนาดไหน และการระเบิดเป็นยังไง หลังจากนี้แล้ว เป็นเรื่องยากมากๆ สำหรับเรือลำหนึ่งที่จะอยู่รอดต่อไปได้ เพราะนี่มันไม่ใช่จรวดลูกนึง นี่คือการระเบิดขึ้นมาของเครื่องกระสุนวัตถุระเบิดจำนวนมาก” เขากล่าวกับสถานีวิทยุ “เรดิโอ ฟรี ยุโรป”
อิห์นัต บอกด้วยว่ายูเครนใช้ขีปนาวุธร่อนในการโจมตีคราวนี้ แต่ไม่ได้ระบุเจาะจงว่าเป็นขีปนาวุธชนิดใด โดยที่ทั้งสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส ต่างได้จัดส่งขีปนาวุธชนิดนี้ไปให้แก่เคียฟ
รัสเซียนั้นแสดงท่าทีในช่วงหลังๆ มานี้ว่า อาจจะพยายามยึดดินแดนของยูเครนเพิ่มเติมอีก โดยเฉพาะพื้นที่ตามแนวชายฝั่งทะเลดำ โดยที่ ปูติน เคยกล่าวในช่วงกลางเดือนที่ผ่านมาว่า เมืองโอเดสซา เมืองท่าสำคัญริมทะเลดำซึ่งก็เป็นที่ตั้งกองบัญชาการของกองทัพเรือยูเครนด้วยนั้น เป็น “เมืองของรัสเซีย” มาโดยตลอด
เว็บไซต์อาร์ทีของทางการรัสเซียรายงานว่า เรือยกพลขึ้นบก โนโวเชอร์คาสสก์ สามารถลำเลียงรถถังหลักได้ 10 คัน และทหาร 340 คน เรือลำนี้ชั้นอยู่ในชั้นโรปูชา ซึ่งต่อกันในโปแลนด์ช่วงเวลาระหว่างทศวรรษ 1970 จนถึงทศวรรษ 1990
จากวิดีโอภาพเหตุการณ์ที่ท่าเรือซึ่งเกิดเหตุโจมตี ที่ทางสื่อมวลชนของรัสเซียโพสต์ทางแพลตฟอร์มเทเลแกรม แสดงให้เห็นว่าเกิดการระเบิดอย่างรุนแรงต่อเนื่องกันหลายครั้ง และมีไฟไหม้ใหญ่
คลิปวิดีโอหลายคลิปที่ถูกเผยแพร่ทางสื่อสังคมและยังไม่ผ่านการตรวจสอบยืนยัน จับภาพการโจมตีของขีปนาวุธ ซึ่งแสดงให้เห็นแรงระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นพื้นที่กว้าง และมีลูกไฟดวงขนาดใหญ่สว่างวาบเหนือท้องฟ้ายามค่ำคืน นอกจากนั้นยังมีภาพถ่ายในเวลากลางวันภาพหนึ่งที่ยังไม่ผ่านการตรวจสอบยืนยันเช่นกัน แต่พวกบล็อกเกอร์ชาวยูเครนอ้างว่าแสดงให้เห็นซากเรือรบของรัสเซียภายหลังการระเบิดสงบลง
ถึงแม้การรุกตอบโต้ของฝ่ายยูเครนตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา แทบไม่บังเกิดผลให้เคียฟเป็นฝ่ายได้เปรียบทางสมรภูมิใดๆ แถมกองทัพรัสเซียเสียอีกกลับกลายเป็นฝ่ายริเริ่มในการรุกกลับในหลายๆ พื้นที่ในช่วงระยะหลังๆ มานี้ แต่ยูเครนยังคงสามารถเปิดการโจมตีอย่างต่อเนื่องใส่ไครเมีย ซึ่งเป็นที่ตั้งกองบัญชาการของกองเรือภาคทะเลดำของรัสเซีย โดยสามารถสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงได้หลายครั้ง
การโจมตีครั้งต่างๆ ก่อนหน้านี้ของเคียฟ มีทั้งที่พุ่งเป้าหมายไปยังพวกเรือซึ่งจอดอยู่ในอู่แห้ง, พวกเรือรบซึ่งทอดสมออยู่ในท่าเรือหลักของเมืองเซวาสโตโปล, สนามบิน, อาคารหลักของกองบัญชาการกองเรือทะเลดำ, ตลอดจนสะพานช่องแคบเคิร์ช ซึ่งเชื่อมระหว่างดินแดนตอนใต้ของรัสเซียกับคาบสมุทรไครเมีย
ตลอดระยะเวลาของสงครามครั้งนี้ รัสเซียได้ใช้กองเรือทะเลดำในการขัดขวางไม่ให้ยูเครนสามารถเข้าถึงทะเลดำ ซึ่งเคยเป็นเส้นทางหลักสำหรับการส่งออกผลิตภัณฑ์การเกษตรและเหล็กกล้าไปต่างประเทศ และเป็นที่มาของรายได้สำคัญเข้ามาหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของยูเครน
ทางด้านประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ไม่พลาดโอกาสในการโพสต์ข้อความทางเลแกรมเยาะเย้ยว่า กองทัพอากาศของยูเครนได้เพิ่มกำลังใน “กองเรือจมใต้น้ำ” ให้แก่รัสเซียแล้ว จากการโจมตีเรือยกพลขึ้นบกจนได้รับความเสียหายหนัก
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อวันจันทร์ (25) กระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงว่า สามารถยิงเมืองมาร์ยินกา ในแคว้นโดเนตสก์ ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว หลังจากเมืองนี้ถูกกองทัพยูเครนใช้เป็นที่มั่นสำคัญมาเป็นเวลาแรมปี อย่างไรก็ดี โฆษกฝ่ายทหารของยูเครนแถลงโต้ว่าที่เมืองดังกล่าวยังคงมีการสู้รบกันอยู่
(ที่มา: รอยเตอร์, อาร์ที, เอเอฟพี)