อิสราเอลยังเดินหน้าโจมตีทั่วกาซา ทั้งค่ายผู้อพยพ โรงพยาบาล และบ้านเรือนประชาชนตลอดคืนวันอาทิตย์ (17 ธ.ค.) ขณะที่ฮิวแมน ไรต์วอตช์ กล่าวหายิวก่ออาชญากรรมสงครามด้วยการใช้ความอดอยากเป็นอาวุธในกาซา
โฆษกกระทรวงสาธารณสุขกาซาแถลงว่า อิสราเอลโจมตีค่ายผู้ลี้ภัยจาบาเลีย ซึ่งตั้งอยู่นอกเมืองกาซาซิตี้ ทางตอนเหนือของฉนวนกาซา อีกหลายรอบตั้งแต่เมื่อวันอาทิตย์ ทำให้มีชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตเพิ่มอีก 110 คน
สถานีวิทยุอัคซาของฮามาสรายงานว่า อิสราเอลยิงขีปนาวุธโจมตีบ้านหลังหนึ่งของครอบครัวชีฮับ ซึ่งเป็นโฆษกของกลุ่มนักรบ “อิสลามิกญิฮาด” ที่เป็นกลุ่มพันธมิตรในกาซาของฮามาส ทำให้มีผู้เสียชีวิต 24 คน นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่แพทย์ยังระบุว่า มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอีกหลายสิบคนในอาคารบ้านเรือนที่อยู่ใกล้บ้านหลังดังกล่าว
ส่วนที่ เดียร์ อัล-บาลาห์ ซึ่งอยู่ทางตอนกลางของกาซา เจ้าหน้าที่แพทย์เผยว่า ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิต 1 คนและบาดเจ็บอีกนับสิบ ขณะที่ในเมืองราฟาห์ ทางตอนใต้สุดของกาซา มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 คนในบ้านหลังหนึ่งที่ถูกอิสราเอลโจมตีทางอากาศ
นอกจากนั้น อัชราฟ อัล-กิดรา โฆษกกระทรวงสาธารณสุขกาซา แถลงว่า รถถังอิสราเอลได้โจมตีอาคารผดุงครรภ์ของโรงพยาบาลนัสเซอร์ในเมืองข่านยูนิส ซึ่งเป็นเมืองหใญ่ที่สุดของกาซาตอนใต้ ทำให้เด็กหญิงวัย 13 ปีคนหนึ่งเสียชีวิต โดยเด็กหญิงผู้นี้เพิ่งเสียพ่อแม่และพี่น้องสองคน รวมถึงขาข้างหนึ่งจากการโจมตีของอิสราเอลเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน
ไม่เพียงเท่านั้น กองทหารอิสราเอลยังบุกเข้าไปในโรงพยาบาลอัล ออว์ดา ทางเหนือของกาซาเมื่อวันอาทิตย์ และควบคุมตัวบุคลากรทางการแพทย์หลังจากปิดล้อมและทิ้งระเบิดใส่มาหลายวัน
ด้านรัฐบาลอิสราเอลอ้างว่า ปฏิบัติการโจมตีทั้งหมดพุ่งเป้าที่ฮามาส และมีการใช้มาตรการพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีถูกพลเรือน
จากข้อมูลที่อัปเดตถึงวันจันทร์ (18) ของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขกาซา ชาวปาเลสไตน์ 19,453 คนถูกสังหาร และอีก 52,256 คนได้รับบาดเจ็บ นับจากวันที่ 7 ต.ค. ที่นักรบฮามาสบุกข้ามแดนเข้าไปสังหารผู้คนราว 1,200 คนในอิสราเอล และจับตัวประกัน 240 คนกลับไปคุมขังในกาซา และเป็นจุดเริ่มต้นของปฏิบัติการโจมตีใหญ่ในกาซาเพื่อตอบโต้ของอิสราเอล
สงครามกวาดล้างฮามาสของอิสราเอลทำให้ประชาชนส่วนใหญ่จากทั้งหมด 2.3 ล้านคนในกาซาต้องทิ้งบ้านเรือน ผู้คนเหล่านี้จำนวนมากอาศัยอยู่ในที่พักพิงชั่วคราวโดยไม่มีน้ำสะอาด อาหาร และยา
สหประชาชาติ ระบุว่า โรงพยาบาลในกาซาที่ยังให้บริการได้เหลือไม่ถึง 1 ใน 3 แห่ง และเมื่อวันอาทิตย์ เทดรอส แอดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) ประณามการทำลายโรงพยาบาลคามาล อัดวา นทางตอนเหนือของกาซาโดยกองกำลังอิสราเอลที่อ้างว่า โรงพยาบาลดังกล่าวเป็นศูนย์บัญชาการและควบคุมของฮามาส
WHO ยังระบุว่า การทิ้งระเบิดของอิสราเอลทำให้แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลอัล-ชีฟา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลใหญ่ที่สุดในกาซาซิตี้ กลายเป็นสถานที่เกิดเหตุนองเลือด
ด้านโอมาร์ ชาคีร์ ผู้อำนวยการกลุ่มฮิวแมน ไรต์ วอตช์ประจำอิสราเอลและปาเลสไตน์ แถลงเมื่อวันจันทร์ (18 ธ.ค.) ว่า อิสราเอลกำลังใช้ความอดอยากเป็นอาวุธด้วยการปิดกั้นการจัดส่งน้ำ อาหาร เชื้อเพลิง และยังทำลายพื้นที่เกษตรกรรมตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา คำแถลงของเขายังเรียกร้องให้ผู้นำทั่วโลกออกมาพูดถึงอาชญากรรมสงครามที่น่ารังเกียจนี้
รายงานของฮิวแมน ไรต์ วอตช์ออกมาหลังจากที่พระสันตะปาปาฟรานซิสกล่าวหาอิสราเอล “ก่อการร้าย” จากเหตุการณ์ที่กองทัพอิสราเอลสังหารผู้หญิงคริสเตียน 2 คนในบริเวณโบสถ์ก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี วันอาทิตย์จุดผ่านแดนเคเรม ชาลอมที่อยู่ระหว่างอิสราเอลกับกาซา เปิดให้รถบรรทุกความช่วยเหลือผ่านเป็นครั้งแรกนับจากสงครามระเบิดขึ้น เพื่อลำเลียงอาหารและยาเข้าสู่กาซาเพิ่มขึ้นสองเท่า
ขณะเดียวกัน คณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นอาจลงมติอย่างเร็วที่สุดในวันจันทร์เพื่อเรียกร้องให้อิสราเอลและฮามาสยอมให้จัดส่งความช่วยเหลือเข้าสู่ฉนวนกาซาทั้งทางบก ทะเล และอากาศ รวมทั้งจัดตั้งระบบติดตามตรวจสอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่จัดส่งให้
นอกจากนั้นนานาชาติยังมีความหวังที่จะได้เห็นข้อตกลงหยุดยิงและปล่อยตัวประกัน หลังจากแหล่งข่าวเผยว่า ผู้นำหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลซุ่มหารือกับนายกรัฐมนตรีกาตาร์เมื่อวันศุกร์ (15)
ต่อมาในวันอาทิตย์ แหล่งข่าวด้านความมั่นคงจากอียิปต์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประเทศผู้ไกล่เกลี่ยหลัก เผยว่า อิสราเอลและฮามาสต่างเปิดกว้างในการเจรจาหยุดยิงและปล่อยตัวประกัน แม้ยังมีความขัดแย้งในเรื่องวิธีการดำเนินการก็ตาม
กระนั้น นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูประกาศย้ำเมื่อวันอาทิตย์ว่า อิสราเอลจะสู้รบจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายในการกำจัดฮามาส ปล่อยตัวประกันทั้งหมด และรับประกันว่า กาซาจะไม่กลายเป็นศูนย์กลางการก่อการร้ายอีกต่อไป
นอกจากนั้นเมื่อวันอาทิตย์ กองทัพอิสราเอลยังระบุว่า พบอุโมงค์ของฮามาสขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบมา ที่บริเวณจุดผ่านแดนด้านเหนือที่เมืองอีเรซ ของอิสราเอล ซึ่งช่างภาพเอเอฟพีระบุว่า อุโมงค์ดังกล่าวมีขนาดใหญ่พอให้รถเล็กวิ่งผ่านได้
อิสราเอลระบุว่า อุโมงค์ดังกล่าวใช้ทุนหลายล้านดอลลาร์และใช้เวลาสร้างนานหลายปี ภายในมีรางรถไฟ ระบบไฟฟ้า ระบบระบายน้ำ และเครือข่ายสื่อสาร
(ที่มา: เอเอฟพี, รอยเตอร์)