ที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติลงมติท่วมท้นเรียกร้องให้มีการหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมในกาซา ขณะที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เอ่ยปากเตือนว่าการทิ้งบอมบ์เข่นฆ่าพลเรือนแบบไม่เลือกทำให้รัฐยิวสูญเสียการสนับสนุนจากนานาชาติในปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มฮามาส
หลังเจ้าหน้าที่ยูเอ็นออกมาส่งเสียงเตือนว่ากาซากำลังเผชิญวิกฤตด้านมนุษยธรรมรุนแรงขึ้นทุกขณะ สมัชชาใหญ่ยูเอ็นซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 193 ประเทศก็ได้เปิดการประชุมนัดพิเศษในช่วงบ่ายวันอังคาร (12 ธ.ค.) ตามเวลานครนิวยอร์ก โดยใช้เวลาหารือเพียงชั่วโมงเศษ ก่อนจะมีการลงมติด้วยเสียงเกิน 2 ใน 3 เรียกร้องให้มีการหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมในกาซาทันที
มติหยุดยิงดังกล่าวมีรัฐยูเอ็นให้การสนับสนุนท่วมท้นถึง 153 เสียง ไม่เห็นด้วย 10 เสียง และงดออกเสียง 23 เสียง
แม้มติของสมัชชาใหญ่ยูเอ็นจะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่ก็มีน้ำหนักในทางการเมือง เพราะเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นว่านานาชาติมีมุมมองต่อสงครามครั้งนี้อย่างไร
สหรัฐฯ และอิสราเอลซึ่งร่วมกับอีก 8 ชาติโหวตคัดค้านมตินี้อ้างว่าการหยุดยิงมีแต่จะเอื้อประโยชน์ให้กับพวกฮามาส และเมื่อสัปดาห์ที่แล้วอเมริกาก็ได้ใช้อำนาจ “วีโต” ขัดขวางมติเรียกร้องหยุดยิงในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เช่นกัน
องค์การบริหารแห่งชาติปาเลสไตน์ออกมาแถลงชื่นชมมติของสมัชชาใหญ่ยูเอ็น พร้อมเรียกร้องนานาชาติร่วมกันกดดันอิสราเอลให้หยุดยิงในกาซา ขณะที่ อิซซัต เอล-เรชีก (Izzat El-Reshiq) เจ้าหน้าที่ฮามาสซึ่งลี้ภัยอยู่ในต่างแดน ก็ได้โพสต์เทเลแกรมเรียกร้องให้อิสราเอล “หยุดความก้าวร้าว การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการทำลายล้างทางเชื้อชาติต่อพลเมืองของเรา”
ก่อนที่ยูเอ็นจะมีการลงมติ ประธานาธิบดี ไบเดน ได้กล่าวในงานระดมทุนหาเสียงที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยระบุว่าอิสราเอลได้รับการสนับสนุนจาก “เกือบทั่วโลก” รวมถึงสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (อียู) “ทว่าพวกเขาเริ่มที่จะสูญเสียการสนับสนุนเหล่านั้น เนื่องจากการทิ้งระเบิดโจมตีพลเรือนแบบไม่เลือก”
นอกจากจะเตือนให้อิสราเอลตระหนักว่ากำลังสูญเสียการสนับสนุนจากทั่วโลกแล้ว ไบเดน ยังฝากไปถึงนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ว่าจำเป็นจะต้อง “ปรับจุดยืน” ละทิ้งแนวทางสายแข็งลงบ้าง พร้อมย้ำว่าท้ายที่สุดก็จะต้องมีการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ขึ้น โดยที่อิสราเอล “ไม่สามารถปฏิเสธได้”
สงครามกาซาที่ทวีความรุนแรงขึ้นยังทำให้สหรัฐฯ ถูกเพ่งเล็งว่าประเคนอาวุธให้อิสราเอลเอาไปใช้เข่นฆ่าพลเรือนปาเลสไตน์ โดยล่าสุดวอชิงตันก็เพิ่งตัดสินใจขายกระสุนปืนใหญ่จำนวน 14,000 นัดให้แก่เทลอาวีฟ โดยไม่รอกระบวนการอนุมัติของสภาคองเกรส
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ พยายามออกมากลบเกลื่อนเสียงวิจารณ์ โดยยืนยันเมื่อวันจันทร์ (11) ว่า สหรัฐฯ ยึดถือนโยบายว่าทุกประเทศที่ได้รับอาวุธจากอเมริกาจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายสงคราม (laws of war) และอิสราเอลก็ “ไม่ใช่ข้อยกเว้น”
กองทัพอิสราเอลได้เปิดปฏิบัติการโจมตีครั้งใหญ่ต่อฉนวนกาซาเพื่อแก้แค้นที่กลุ่มฮามาสบุกข้ามแดนมาสังหารประชาชนในฝั่งอิสราเอลไปถึง 1,200 คน และยังจับชาวอิสราเอลและต่างชาติไปเป็นตัวประกันอีกราว 240 คนเมื่อวันที่ 7 ต.ค.
การโจมตีทางอากาศเพื่อขุดรากถอนโคนฮามาสได้คร่าชีวิตพลเรือนปาเลสไตน์ไปแล้วอย่างน้อย 18,205 คน และทำให้มีผู้บาดเจ็บอีกเกือบ 50,000 คน ตามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขกาซาในวันพุธ (13)
โครงการอาหารโลก (World Food Program) ระบุว่า ประชาชนในกาซาราวครึ่งหนึ่งกำลังอยู่ในภาวะอดอยากรุนแรง ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขกาซาก็ออกมาเตือนว่าเริ่มมีคนป่วยเป็นโรคระบาดและโรคติดเชื้อต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น โรคท้องร่วง อาหารเป็นพิษ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ อีสุกอีใส และโรคหิด เป็นต้น
สงครามกาซาที่ทวีความรุนแรงขึ้นยังทำให้ประเด็นที่ว่าอาวุธของสหรัฐฯ ถูกนำไปใช้ในสงครามอย่างไรและที่ไหนบ้างก็เริ่มถูกเพ่งเล็งมากขึ้นเรื่อยๆ โดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกมายืนยันเมื่อวันจันทร์ (11) ว่าอเมริกายึดถือนโยบายที่ว่าทุกประเทศที่ได้รับอาวุธจากอเมริกาจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายสงคราม (laws of war) และอิสราเอลก็ “ไม่ใช่ข้อยกเว้น” หลังจากที่วอชิงตันตัดสินใจขายกระสุนปืนใหญ่จำนวน 14,000 นัดให้แก่เทลอาวีฟโดยไม่รอกระบวนการอนุมัติของสภาคองเกรส
ออสเตรเลีย แคนาดา และนิวซีแลนด์ เป็นหนึ่งในชาติพันธมิตรอเมริกาที่ยอมแตกแถวประกาศสนับสนุนมติเรียกร้องหยุดยิง และแสดงความกังวลต่อความทุกข์ทรมานของพลเรือนในกาซา ในความเคลื่อนไหวที่สะท้อนให้เห็นว่าโลกเริ่มจะรับไม่ได้กับยุทธวิธีอันป่าเถื่อนของอิสราเอลในสงครามซึ่งยืดเยื้อเข้าสู่เดือนที่ 3
“ราคาที่ต้องจ่ายไปกับการโค้นล้มฮามาสจะต้องไม่ใช่การสร้างความทุกข์ทรมานแบบไม่รู้จบให้แก่พลเรือนปาเลสไตน์ทั้งหมด” ผู้นำ 3 ชาติระบุในคำแถลงร่วม
ทั้ง 3 ชาติยังประกาศสนับสนุนสิทธิ์ของชาวปาเลสไตน์ในการกำหนดอนาคตของตนเอง แต่ก็ไม่เห็นด้วยที่จะปล่อยให้พวกฮามาสกลับมามีอำนาจปกครองกาซาอีกในอนาคต
เอลี โคเฮน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอล ออกมาแถลงตอบโต้มติของสมัชชาใหญ่ยูเอ็นในวันพุธ (13) โดยย้ำว่าการทำข้อตกลงหยุดยิงในกาซาตอนนี้จะเป็นถือเป็นความผิดพลาดร้ายแรง และอิสราเอล “จะเดินหน้าทำสงครามกับฮามาสต่อไป ไม่ว่านานาชาติจะสนับสนุนหรือไม่ก็ตาม”
“การหยุดยิงในตอนนี้เท่ากับมอบของขวัญให้กับพวกผู้ก่อการร้ายฮามาส และจะเปิดโอกาสให้พวกเขากลับมาคุกคามชีวิตคนอิสราเอลได้อีก”
ฮอสเซน อามีร์อับดอลลาฮยาน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ระบุในวันพุธ (12) ว่าสหรัฐฯ และอิสราเอลไม่มีทางกำจัดกลุ่มฮามาสให้หมดสิ้นไปได้ และหนทางเดียวที่อิสราเอลจะสามารถช่วยเหลือตัวประกันในกาซากลับมาก็คือการเจรจาทำ “ข้อตกลงทางการเมือง” เพื่อยุติความขัดแย้ง
อิสราเอลเริ่มขยายปฏิบัติการทางทหารจากตอนเหนือของกาซาลงสู่พื้นที่ตอนใต้ที่เมืองข่านยูนิส (Khan Younis) หลังข้อตกลงพักรบชั่วคราว 1 สัปดาห์ล่มสลายลงเมื่อต้นเดือน ธ.ค. และจนถึงตอนนี้อิสราเอลสูญเสียกำลังพลไปแล้วกว่า 100 นายนับตั้งแต่เริ่มเปิดปฏิบัติการภาคพื้นดินในกาซาเมื่อปลายเดือน ต.ค.
หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) และสถานีโทรทัศน์เอบีซีรายงานว่า เวลานี้กองทัพอิสราเอลเริ่มใช้ปั๊มสูบน้ำทะเลเข้าท่วมอุโมงค์ที่เชื่อว่าพวกนักรบฮามาสใช้เป็นสถานที่กบดานและเก็บซ่อนอาวุธแล้ว ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ ระบุว่าได้รับรายงานซึ่งยังไม่ยืนยันว่า ไม่มีตัวประกันอยู่ในอุโมงค์ของฮามาส แม้ว่าตัวประกันบางส่วนที่รอดชีวิตกลับมาจะยืนยันว่าพวกเขาถูกนำไปกักขังไว้ในอุโมงค์ก็ตาม