เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ - “Oppenheimer” ภาพยนต์ชื่อดังเกี่ยวกับความพยายามของสหรัฐฯในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์แรกของโลกขึ้นมาสำเร็จจนนำมาสู่การพ่ายของญี่ปุ่นในเวลาต่อมาและเป็นการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 1939 ถึงปี 1945 และมีผู้เสียชีวิตไปถึง 75 ล้านคนทั่วโลกรวมทหาร 20 ล้านคนที่มีมากถึง แต่ทว่าที่ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่ได้รับความบอบช้ำกับผลของนิวเคลียร์กำลังจะได้รับชมภาพยนต์ชื่อดังนี้ในปีหน้า
NBC สื่อสหรัฐฯรายงานวานนี้(7 ธ.ค)ว่า ภาพยนต์ “Oppenheimer” ของผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลน(Christopher Nolan) ของบริษัท Universal Pictures ที่มีตอนจบที่ขมขื่นในสายตาหลายคนโดยเฉพาะที่ญี่ปุ่นแต่ทว่าผู้จัดจำหน่ายญีปุ่นแถลงวันพฤหัสบดี(12)ว่า ในที่สุดภาพยนตร์เรื่องนี้จะสามารถเผยแพร่ออกสู่สาธารณะได้แล้วในปี 2024 แต่โดยที่ไม่มีการระบุถึงวันที่แน่นอนออกมา
“เพราะสิ่งสำคัญสำหรับภาพยนตร์นี้มีความสำคัญเป็นอย่างมากและมีความสำคัญเป็นอย่างมากต่อเราชาวญี่ปุ่น ทำให้พวกเราตัดสินใจที่จะเผยแพร่ภาพยนต์ในญี่ปุ่นหลังมีการหารือและการพิจารณา” รายงานจากคำแถลง
และเสริมต่อว่า “หลังจากได้ชมภาพยนตร์ทำให้พวกเราเชื่อว่า ประสบการณ์ทางภาพยนตร์เช่นนี้ที่มาจากผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลน อยู่เหนือเทคนิคทางภาพยนตร์แบบดั้งเดิมสมควรที่จะได้รับชมบนจอใหญ่”
ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถกวาดเงินไปได้มากกว่า 950 ล้านทั่วโลกนั้นมีเสียงนักวิจารณ์บางส่วนออกมาตั้งคำถามว่า เหตุใดภาพยนตร์จึงไม่มีการแสดงไปถึงเหยื่อชาวญี่ปุ่นในเมืองฮิโรชิมาและจังหวัดนางาซากีในช่วงไม่กี่วันก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะสิ้นสุด หรือความเลวร้ายที่เกิดขึ้นต่อคนเหล่านั้นหลังจากนั้น โดยผลจากระเบิดนิวเคลียร์ 2 ลูกที่สหรัฐฯโจมตีทำให้สังหารชาวญี่ปุ่นในเวลานั้นไป 200,000 คนถูกมองว่าทำให้ญี่ปุ่นจำเป็นต้องยอมจำนนและสงครามโลกที่ยืดเยื้อมานานหลายปีต้องสิ้นสุดลง
โนแลนได้กล่าวแก่ ชัค ท็อดด์ (Chuck Todd) ในรายงการ MSNBC โต้เสียงวิจารณ์อย่างหนักแน่นว่า “ภาพยนตร์ไม่ใช่สารคดี” และทำให้มีการโฟกัสไปที่มุมมองของนักฟิสิกต์ชาวอเมริกัน เจ. โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์( J. Robert Oppenheimer)
ซึ่งในการที่ออพเพนไฮเมอร์เป็นภาพยนตร์ที่ออกมาในช่วงหน้าร้อนในตะวันตกพร้อมกับภาพยนตร์ชื่อดัง “บาร์บี” พอดี ส่งผลทำให้กระแส # Barbenheimer ที่เป็นการนำชื่อ 2 ภาพยนตร์ทั้งสองมาผนวกกันระบาด แต่ทว่าในญี่ปุ่นสื่อสหรัฐฯรายงานว่า ผู้ใช้โซเชียลญี่ปุ่นต่างออกมาเรียกร้องให้บอยคอตภาพยนตร์ทั้งสองโดยขึ้นแฮชแท็ก #NoBarbenheimer