คนร้ายก่อเหตุกราดยิงที่มหาวิทยาลัยเนวาดา วิทยาเขตลาสเวกัส เมื่อวันพุธ(6ธ.ค.) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 ราย ก่อนเหตุนองเลือดจบลงด้วยการที่ผู้ต้องสงสัยปลิดชีพตัวเอง จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่
กรมตำรวจลาสเวกัส ระบุในถ้อยแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรบนสื่อสังคมออนไลน์ ว่ามี 3 คน นอกเหนือจากมือปืน เสียชีวิต ส่วนอีกคนที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส อยู่ในอาการวิกฤต
พวกเจ้าหน้าที่ไม่ได้ระบุตัวตนเหยื่อ นอกจากนี้แล้วยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าผู้ต้องสงสัยถูกวิสามัญฆาตกรรมโดยตำรวจหรือลงมือฆ่าตัวตาย
วินเซนต์ เปเรซ ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัย ที่มีชื่อเรียกว่า UNLV ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอ็มเอสเอ็นบีซีทางโทรศัพท์ ว่าเขาได้ยินเสียงปืนหลายนัด ก่อนวิ่งหาที่กำบัง "ผมได้ยินเสียงปืนราว 7 ถึง 8 นัด และหนึ่งนัดหลังจากนั้น มีเสียงดัง เสียงดังมากๆ" เขากล่าว "ทันทีที่เราได้ยินเสียง เราวิ่งกลับเข้าไปข้างใน และตระหนักแล่ววามันคือเหตุยิงกันจริงๆ และมีคนร้ายอยู่ในวิทยาลัย"
โฆษกตำรวจมหาวิทยาลัยเปิดเผยระหว่างแถลงสรุปว่า หลังได้รับสายแจ้งเหตุร้ายว่ามีมือปืนอยู่ในวิทยาลัย พวกเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายรุดตอบสนองในทันทีและเผชิญหน้ากับผู้ต้องสงสัย "และผู้ต้องสงสัยเสียชีวิตแล้ว"
เควิน แมคฮาฮิล เจ้าหน้าที่ประจำกรมตำรวจนครบาลลาสเวกัส ระบุว่าไม่มีภัยคุกคามชุมชนเหลืออยู่แล้ว แต่ทางมหาวิทยาลัย UNLV และสาขาอื่นๆของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ตัดสินใจปิดการเรียนการสอนตลอดทั้งวัน ในมาตรการป้องกันไว้ก่อน
"เจ้าหน้าที่ยังคงตรวจค้นอาคารแต่ละหลังในพื้นที่อันกว้างขวาง เพื่อรับประกันว่าเราจะไม่พบเหยื่อเพิ่มเติมหรือประเด็นปัญหาใดๆ" แมคฮาอิลกล่าว
เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งรายงานเกี่ยวกับเหตุยิงกันในครั้งแรกตอนเวลาราวๆเที่ยงวัน และภายในเวลาครึ่งชั่วโมง "ตำรวจหาผู้ต้องสงสัยจนพบและผู้ต้องสงสัยเสียชีวิต" ตำรวจลาสเวกัสระบุ
มหาวิทยาลัย UNLV ตั้งอยู่ห่างจากลาสเวกัสสตริป ไปทางตะวันออกราว 3.2 กิโลเมตร มีนักศึกษาระดับปริญญาตรีราว 25,000 คน ระดับบัณฑิตศึกษาและระดับดอคเตอร์ 8,000 คน
ลาสเวกัสเคยเกิดเหตุกราดยิงที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ จากคดีมือปืนกราดยิงงานเทศกาลดนตรีคร่าชีวิตผู้ร่วมงานมากถึง 60 รายและบาดเจ็บหลายร้อยคนเมื่อปี 2017 ในสิ่งที่ยังคงเป็นเหตุกราดยิงมือด้วยฝีมือมือปืนเพียงรายเดียวครั้งนองเลือดที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
กลุ่มกัน ไวโอเลนซ์ อาร์ไคฟ์ (จีวีเอ) องค์กรไม่แสวงหากำไรที่ติดตามเหตุความรุนแรงจากปืนในสหรัฐฯ เปิดเผยว่าปีนี้สหรัฐฯมีรายงานเหตุกราดยิงซึ่งตามนิยามต้องเป็นเหตุที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตตั้งแต่ 4 รายขึ้นไป มากกว่า 600 คดี ท่ามกลางความพยายามควบคุมการครอบครองอาวุธปืนในประเทศซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะคืบหน้า
(ที่มา:รอยเตอร์/เอเจนซี)