กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศมาตรการห้ามไม่ให้กลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวหัวรุนแรงที่มีส่วนพัวพันกับการโจมตีพลเรือนปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์เดินทางเข้าประเทศ ในความเคลื่อนไหวเชิงลงโทษต่ออิสราเอลที่ไม่พบเห็นได้บ่อยนักจากอเมริกา
แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกมาประกาศมาตรการดังกล่าววานนี้ (5 ธ.ค.) หลังจากที่ได้เตือนอิสราเอลไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า รัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน จะกำหนดบทลงโทษต่อการโจมตีชาวปาเลสไตน์ในเวสต์แบงก์
บลิงเคน ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าจะมีการแบนวีซ่าต่อบุคคลใดบ้าง แต่ แมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า คำสั่งแบนนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันอังคาร (5) โดยครอบคลุมผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิว “หลายสิบคน” กับครอบครัวของพวกเขา และอาจจะมีการขยายบทลงโทษออกไปอีก หากชาวยิวเหล่านี้ยังไม่หยุดใช้ความรุนแรง
มิลเลอร์ ไม่ได้ให้ตัวเลขที่ชัดเจน และปฏิเสธที่จะเผยชื่อเสียงเรียงนามของกลุ่มบุคคลเป้าหมาย โดยอ้างว่าเป็นความลับทางราชการ
ความสัมพันธ์วอชิงตัน-เทลอาวีฟอยู่ในช่วงเปราะบางเป็นพิเศษ เนื่องจาก ไบเดน ยังคงยืนกรานที่จะให้การสนับสนุนอย่างเข้มแข็งต่ออิสราเอลที่ถูกพวกฮามาสเปิดฉากโจมตีเมื่อวันที่ 7 ต.ค. แม้เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติต่อการโจมตีแก้แค้นของรัฐยิวที่ทำให้พลเรือนกาซาบาดเจ็บล้มตายเป็นหมื่นคนจะดังขึ้นเรื่อยๆ ก็ตาม
สถานทูตอิสราเอลประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ยังไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นในประเด็นนี้
ในระยะหลังๆ สหรัฐฯ เริ่มเรียกร้องอย่างจริงจังให้อิสราเอลต้องจัดทำแผนลดความสูญเสียต่อพลเรือนในกาซา ขณะที่พวกเขาเดินหน้าปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มฮามาส และเริ่มขยายแนวรบไปสู่พื้นที่ตอนใต้ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น
แม้สหรัฐฯ จะยังคงสงวนท่าทีไม่วิจารณ์ปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในกาซา แต่ก็เริ่มออกมาส่งเสียงเตือนเรื่องพฤติกรรมรุนแรงของพวกผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวในเวสต์แบงก์ รวมถึงตำหนิรัฐบาลนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ที่ล้มเหลวในการยับยั้งปัญหานี้
“เราได้ย้ำเตือนรัฐบาลอิสราเอลไปแล้วว่า พวกเขาจำเป็นต้องทำมากกว่านี้เพื่อเอาผิดกับผู้ตั้งถิ่นฐานสุดโต่งที่เข้าไปก่อความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ในเวสต์แบงก์” บลิงเคน ระบุในคำแถลง
“ก็อย่างที่ประธานาธิบดี ไบเดน ได้ย้ำไปแล้วหลายครั้ง การโจมตีเหล่านี้เป็นสิ่งที่รับไม่ได้”
สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA) แถลงเมื่อวันจันทร์ (4) ว่า นับตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. มีชาวปาเลสไตน์ในเวสต์แบงก์ถูกผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวสังหารไปแล้วอย่างน้อย 8 คน และทางหน่วยงานยังได้รับแจ้งว่ามีเหตุโจมตีที่กระทำโดยผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิว ซึ่งส่งผลให้ชาวปาเลสไตน์บาดเจ็บล้มตาย สูญเสียทรัพย์สิน หรือทั้ง 2 อย่าง เกิดขึ้นรวมทั้งสิ้น 314 กรณี
OCHA พบว่า เหตุโจมตีราว 1 ใน 3 มีการใช้อาวุธปืนข่มขู่หรือการยิงร่วมด้วย และเกือบครึ่งของการโจมตีโดยผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวมักได้รับการสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่ความมั่นคงอิสราเอล
บลิงเคน ยืนยันว่า สหรัฐฯ จะมีบทลงโทษต่อผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยิวที่ใช้ความรุนแรงต่อชาวปาเลสไตน์ รวมถึงติดตามเอาผิดในกรณีที่ชาวปาเลสไตน์เป็นฝ่ายโจมตีคนยิวทั้งในเวสต์แบงก์และในอิสราเอลด้วย
“ทั้งอิสราเอลและองค์การบริหารแห่งชาติปาเลสไตน์มีหน้าที่ที่จะต้องธำรงไว้ซึ่งเสถียรภาพในเวสต์แบงก์” รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าว พร้อมเตือนว่า “ความไร้เสถียรภาพในเวสต์แบงก์จะส่งผลเสียทั้งต่อชาวอิสราเอลและปาเลสไตน์ และยังเป็นภัยคุกคามต่อผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของอิสราเอลด้วย”
เดือนที่แล้วสหรัฐฯ เพิ่งจะรับอิสราเอลเข้าร่วมโปรแกรมยกเว้นการขอวีซ่า (US Visa Waiver Program) ซึ่งจะเปิดทางให้พลเมืองอิสราเอลสามารถเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า ทว่ากลุ่มบุคคลที่ติดโทษแบนตามคำสั่งล่าสุดจะหมดสิทธิ์เข้าโครงการนี้ และหากเป็นผู้ที่ถือวีซ่าสหรัฐฯ อยู่ก็จะถูกเพิกถอนทันที
ที่มา: เอพี
.