เกิดเหตุระเบิดในพิธีมิสซาของชาวคริสต์ที่เมืองทางใต้ของฟิลิปปินส์ในวันอาทิตย์ (3 ธ.ค.) ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 คน บาดเจ็บนับสิบ และผู้นำฟิลิปปินส์ฟันธงว่า เป็นฝีมือผู้ก่อการร้ายต่างชาติ ก่อนหน้านั้นวันเดียว ฝรั่งเศสก็เจอเหตุคนร้ายโจมตีนักท่องเที่ยวใกล้หอไอเฟล ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 คนเป็นนักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน และมีผู้บาดเจ็บอีก 2 คน โดยผู้ต้องสงสัยที่ถูกรวบตัวได้ทันควันให้การว่า ไม่พอใจที่ชาวมุสลิมมากมายเสียชีวิตในอัฟกานิสถานและปาเลสไตน์
เจอราลด์ ดาร์มาแนง รัฐมนตรีมหาดไทยฝรั่งเศส แถลงว่า ตำรวจสามารถรวบตัวผู้ต้องสงสัย ซึ่งเป็นชายวัย 26 ปี สัญชาติฝรั่งเศส ได้อย่างรวดเร็ว ชายผู้นี้เคยถูกจำคุก 4 ปีข้อหาวางแผนโจมตีเมื่อปี 2016 รวมทั้งอยู่ในรายชื่อบุคคลที่ต้องจับตาของหน่วยงานความมั่นคงของฝรั่งเศส และเป็นที่รับรู้ว่า เป็นโรคจิตเภท
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาราว 20.00 น.วันเสาร์ (2) ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับ 02.00 น.วันอาทิตย์ ตามเวลาเมืองไทย) ซึ่งผู้ต้องสงสัยใช้มีดแทงนักท่องเที่ยว 2 คนที่ย่านกี เดอ เกรอแนลล์ ใกล้หอไอเฟล ทำให้นักท่องเที่ยวเยอรมันคนหนึ่งเสียชีวิต หลังจากนั้นคนร้ายยังใช้ค้อนทำร้ายเหยื่ออีก 2 คนก่อนถูกจับกุม
ดาร์มาแนงเสริมว่า ผู้ต้องสงสัยตะโกนข้อความสรรเสริญพระเจ้าของศาสนาอิสลาม และให้การกับตำรวจว่า โกรธแค้นที่ชาวมุสลิมมากมายเสียชีวิตในอัฟกานิสถานและปาเลสไตน์ รวมทั้งสถานการณ์ในกาซา
ด้านสำนักงานฝ่ายต่อต้านการก่อการร้ายแถลงว่า กำลังสอบสวนคดีนี้
ฝรั่งเศสยกระดับการเฝ้าระวังการก่อการร้ายนับจากเกิดเหตุอดีตนักเรียนจากสาธารณรัฐอิงกูเชเตียในเทือกเขาคอเคซัสของรัสเซียซึ่งสงสัยว่า ได้รับการปลูกฝังจากกลุ่มอิสลามิกให้นิยมความรุนแรง แทงครูคนหนึ่งเสียชีวิตในเมืองอาร์รัสเมื่อเดือนตุลาคม
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นสามปีหลังจากครูคนหนึ่งถูกชาวเชชเนียที่มีแนวคิดสุดโต่งฆ่าตัดคอนอกปารีส ก่อนถูกตำรวจกระทำวิสามัญฆาตกรรม
การโจมตีเมื่อวันเสาร์ยังทำให้ชาวปารีสกังวลกันมากขึ้น หลายคนยังคงไม่ลืมเหตุการณ์เมื่อปี 2015 ที่มีการโจมตีคาเฟ่และมิวสิกฮอลล์โดยกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 130 คน
ทางด้านฟิลิปปินส์ตอนเช้าวันอาทิตย์ เกิดเหตุระเบิดในพิธีมิสซาที่จัดขึ้นในยิมเนซียมของมหาวิทยาลัยมินดาเนา ในเมืองมาราวีทางใต้ของฟิลิปปินส์
พลเอกเกเบรียล วิเรย์ ผู้บัญชาการทหารประจำภูมิภาค แถลงว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 คน และบาดเจ็บ 50 คน ซึ่งส่วนใหญ่บาดเจ็บเล็กน้อยและถูกนำส่งโรงพยาบาลแล้ว
ทหารและตำรวจเข้าปิดล้อมที่เกิดเหตุทันทีและเริ่มต้นการสอบสวนเบื้องต้น และตั้งจุดตรวจรอบเมือง
ประธานาธิบดีเฟอร์ดินันด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประณามการกระทำที่ชั่วร้ายนี้ว่า เป็นฝีมือผู้ก่อการร้ายต่างชาติ
กิลเบอร์โต ทีโอโดโร รัฐมนตรีกลาโหม แถลงว่า หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายจะนำตัวผู้ก่อการร้ายมาลงโทษ และสำทับว่า มีสิ่งบ่งชี้ชัดเจนว่า เหตุระเบิดนี้มีต่างชาติเกี่ยวข้องด้วย ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอาวุโสผู้หนึ่งแถลงว่า พบชิ้นส่วนปืนครกขนาด 16 มม.ในที่เกิดเหตุ
เหตุการณ์สะเทือนขวัญนี้เป็นสัญญาณเตือนภัยไม่เพียงในเมืองมาราวีเท่านั้น เนื่องจากใกล้ถึงเทศกาลคริสต์มาสที่ผู้คนจะออกเดินทาง ช้อปปิ้ง และจราจรเนืองแน่นทั่วประเทศ
หน่วยยามฝั่งเผยว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทั้งหมดเพิ่มการรวบรวมข่าวกรอง ตรวจสอบผู้โดยสารบนเรือเฟอร์รี่อย่างเคร่งครัดขึ้น ใช้สุนัขดมกลิ่น และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายทางทะเล เพื่อเฝ้าระวังการโจมตีเช่นที่เกิดขึ้นล่าสุด
แม้ยังไม่มีสิ่งบ่งชี้ชัดเจนว่า บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดนี้ แต่ตำรวจระบุว่า จะตรวจสอบความเป็นไปได้ว่า อาจมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มติดอาวุธมุสลิมที่ยังคงก่อการอยู่ในภูมิภาคดังกล่าวหรือไม่
ทั้งนี้ เมื่อวันเสาร์ กองทัพฟิลิปปินส์ได้สังหารกลุ่มติดอาวุธ 11 คน ซึ่งเป็นสมาชิกลุ่มเดาเลาะห์ อิสลามิยาห์ ฟิลิปปินส์ ที่มีแผนโจมตีในจังหวัดมากินดาเนา เดล ซูร์ และกองทัพกำลังสอบสวนว่า สองเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกันหรือไม่
เมืองมาราวี ซึ่งเป็นเมืองเอกของจังหวัดลาเนา เดล ซูร์ และเป็นเมืองที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่มากที่สุดในฟิลิปปินส์ เคยถูกกลุ่มติดอาวุธที่สนับสนุนกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) ยึดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2017 และกองทัพฟิลิปปินส์ใช้เวลาถึง 5 เดือนในการต่อสู้ชิงเมืองคืน ซึ่งมีผู้เสียชีวิตกว่าพันคน
นอกจากนั้นมะนิลายังทำข้อตกลงสันติภาพกับกลุ่มกบฎใหญ่ที่สุดในประเทศคือ แนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโรเมื่อปี 2014 เพื่อยุติการกบฏนองเลือด ทว่า กลุ่มนักรบอิสลามเล็กๆ อีกหลายกลุ่มต่อต้านข้อตกลงดังกล่าว และยังคงก่อความไม่สงบทั่วดินแดนตากาล็อก
(ที่มา: รอยเตอร์, เอเอฟพี)