ดมิตรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน ระบุวานนี้ (1 ธ.ค.) ว่ารัสเซียคาดการณ์อยู่แล้วว่าสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรจะใช้มาตรการคว่ำบาตรบีบคั้นมอสโกต่อไปอีก “หลายปี” อย่างแน่นอน ทว่าอิทธิพลที่สหรัฐฯ มีต่อเศรษฐกิจโลกก็เริ่มที่จะเสื่อมถอยลงทุกที
ก่อนหน้านั้น เจฟฟรีย์ ไพแอตต์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายทรัพยากรพลังงาน ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์สว่า วอชิงตันมีเป้าหมายที่จะทำให้รายได้จากการส่งออกน้ำมันและก๊าซของรัสเซียลดลงเหลือ “ครึ่งหนึ่ง” ภายในสิ้นทศวรรษนี้
“เราไม่มีความสงสัยเลยว่า มาตรการคว่ำบาตรเหล่านี้จะคงอยู่อีกหลายปีแน่นอน ต่อให้ไม่มีคำพูดจากฝ่ายผู้แทนสหรัฐฯ เราก็ทราบดี เรากำหนดนโยบายต่างๆ โดยคำนึงถึงสิ่งนี้อยู่แล้ว” เปสคอฟ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน
รัสเซียมักอวดอ้างเสมอว่าเศรษฐกิจแดนหมีขาวนั้น “แข็งแกร่งยืดหยุ่น” ยิ่งกว่าที่หลายฝ่ายคิด แม้จะถูกชาติตะวันตกรุมคว่ำบาตรเพื่อลงโทษที่ทำสงครามรุกรานยูเครนก็ตาม
อย่างไรก็ดี รัสเซียยังคงเผชิญปัญหาเงินเฟ้อและขาดแคลนแรงงาน ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่ว่าโตถึง 5.0% เมื่อเทียบปีต่อปีในเดือน ต.ค. นั้นก็มีปัจจัยมาจากการผลิตยุทโธปกรณ์เพิ่มขึ้นเสียเป็นส่วนใหญ่
เพื่อทดแทนการค้ากับตะวันตกที่ลดลง รัสเซียได้หันไปพึ่งพาจีน อินเดีย รวมถึงตลาดอื่นๆ เช่น ตะวันออกกลาง เอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา
“เศรษฐกิจโลกไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่เศรษฐกิจสหรัฐฯ เท่านั้น” เปสคอฟ กล่าว พร้อมชี้ว่าจีนเองก็กำลังไล่หลังสหรัฐฯ ในการขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก
“โลกนี้มีความหลากหลายมากกว่าสหรัฐอเมริกา ดังนั้นโลกที่ยึดอเมริกาเป็นศูนย์กลางกำลังจะสิ้นสุดลง และยุคสมัยแห่งความหลากหลายกำลังจะเริ่มขึ้น รวมถึงในด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศด้วย”
ที่มา : รอยเตอร์