อิสราเอล-ฮามาส ตกลงกันในนาทีสุดท้ายเมื่อวันพฤหัสบดี (30 พ.ย. ขยายเวลาหยุดยิงชั่วคราวออกไปอีก 1 วัน ขณะที่วอชิงตันแสดงความหวังว่า ข้อตกลงนี้อาจขยายออกไปได้อีกเพื่อให้มีการปล่อยตัวประกันเพิ่มและส่งความช่วยเหลือเข้าสู่กาซา
อิสราเอลที่เรียกร้องให้ฮามาสปล่อยตัวประกันอย่างน้อยวันละ 10 คนเพื่อคงการหยุดยิงในกาซาต่อไป เผยว่าได้รับรายชื่อตัวประกันที่จะได้รับอิสรภาพในวันพฤหัสฯ (30 พ.ย.) ซึ่งเป็นวันที่ 7 ของการหยุดยิงแล้ว และทำให้อิสราเอลสั่งยกเลิกแผนการกลับสู่ปฏิบัติการสู้รบในเช้าวันเดียวกัน
คำแถลงดังกล่าวมีขึ้นไม่กี่นาทีก่อนที่ข้อตกลงหยุดยิงจะสิ้นสุดลงในเวลา 5.00 น. วันพฤหัสฯ ตามเวลามาตรฐานกรีนิช (ตรงกับ 12.00 น.เวลาเมืองไทย)
ทางฝั่งฮามาส ซึ่งเมื่อวันพุธ (29) ได้ปล่อยตัวประกันรวม 16 คน ประกอบด้วยคนอิสราเอล 10 คน, ไทย 4 คน และบุคคลสองสัญชาติอิสราเอล-รัสเซียอีก 2 คน แลกเปลี่ยนกับการที่อิสราเอลปล่อยนักโทษปาเลสไตน์ 30 คน เผยว่า ข้อตกลงหยุดยิงจะขยายออกไปเป็นวันที่ 7
ก่อนหน้านี้ฮามาสเผยว่า อิสราเอลปฏิเสธต่อเวลาข้อตกลงหยุดยิง หลังจากฮามาสเสนอปล่อยตัวประกันผู้หญิงและเด็ก 7 คน และร่างผู้เสียชีวิตอีก 3 คน ซึ่งฮามาสอ้างว่า ผู้เสียชีวิตเหล่านี้ที่รวมถึงทารกวัย 10 เดือนและถือเป็นตัวประกันอายุน้อยที่สุด เสียชีวิตพร้อมกับพี่ชายวัย 4 ปี และแม่ ระหว่างที่อิสราเอลโจมตีทางอากาศก่อนหน้านี้
ทางด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศกาตาร์ เผยว่า เงื่อนไขอื่นๆ ในการหยุดยิงซึ่งรวมถึงการระงับการเป็นปฏิปักษ์และการจัดส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ยังคงเดิม
ทั้งนี้ กาตาร์ ตลอดจนถึงอเมริกาและอียิปต์ มีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวกลางการเจรจาระหว่างคู่สงคราม
ในส่วนของ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ที่เดินทางถึงอิสราเอลเมื่อวันพุธ กล่าวระหว่างพบกับประธานาธิบดีไอแซก เฮอร์ซ็อกของประเทศเจ้าบ้านว่า ความพยายามเพื่อขยายเวลาการหยุดยิงจะยังคงดำเนินต่อไป และเสริมว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีพัฒนาการที่ดีมากเกิดขึ้นทั้งในส่วนของการปล่อยตัวประกันและการเพิ่มความช่วยเหลือให้แก่พลเรือนในกาซา
จนถึงวันพุธ (29) นักรบฮามาสปล่อยตัวประกันในระหว่างการหยุดยิงไปแล้ว 97 คน ประกอบด้วยผู้หญิงและเด็กอิสราเอล 70 คน ภายใต้เงื่อนไขในการแลกเปลี่ยนที่ว่า นักโทษปาเลสไตน์ที่เป็นผู้หญิงและวัยรุ่นรวม 3 คนแลกกับตัวประกันชาวอิสราเอล 1 คน สำหรับที่เหลืออีก 27 คนนั้นเป็นตัวประกันชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่คือคนไทย โดยฮามาสถือว่าเป็นการปล่อยตัวภายใต้ข้อตกลงแยกต่างหาก ในส่วนของอิสราเอลนั้นปล่อยตัวนักโทษปาเลสไตน์ตามเงื่อนไขรวมแล้ว 210 คน
อย่างไรก็ดี ภายหลังบรรลุข้อตกลงต่อเวลาการหยุดยิงชั่วคราวล่าสุดนี้ออกไปไม่นานนัก ตำรวจอิสราเอลอ้างว่า มีผู้ก่อการร้ายปาเลสไตน์ 2 คนกราดยิงผู้คนที่รอรถเมล์ในชั่วโมงเร่งด่วนหน้าทางเข้านครเยรูซาเลม ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 คน ส่วนผู้โจมตีทั้งสองคนก็ถูกเจ้าหน้าที่สังหาร
อิสราเอลประกาศคำมั่นสัญญาที่จะทำลายล้างกลุ่มฮามาส ซึ่งเวลานี้เป็นผู้ปกครองดินแดนฉนวนกาซา เพื่อตอบโต้การที่กลุ่มนักรบกาซาบุกเข้าไปโจมตีภายในอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. สังหารผู้คนไปราว 1,200 คน และจับตัวประกันกลับกาซาราว 240 คน ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม 7 สัปดาห์คราวนี้ ที่อิสราเอลถล่มกาซาแบบไม่พักทั้งทางอากาศและภาคพื้นดิน ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 15,000 คน และสูญหายอีก 6,500 คน
สงครามที่พักรบชั่วคราวในขณะนี้ยังทำให้ประชาชน 2 ใน 3 ในกาซากลายเป็นคนไร้บ้าน โดยส่วนใหญ่หลบภัยอยู่ทางด้านใต้ของฉนวนกาซาหลังจากอิสราเอลสั่งอพยพชาวปาเลสไตน์ทั้งหมดในดินแดนตอนเหนือ และคาดว่า หลังจากข้อตกลงหยุดยิงสิ้นสุดลง อิสราเอลยังจะขยายปฏิบัติการภาคพื้นดินเข้าสู่ตอนใต้ของกาซาอีกด้วย
ทว่า เมื่อวันพุธ อเมริกาที่หนุนหลังอิสราเอลมาโดยตลอด เรียกร้องให้อิสราเอลลดขนาดพื้นที่การต่อสู้ รวมทั้งประกาศให้ชัดเจนว่า พลเรือนปาเลสไตน์สามารถหลบภัยที่ใดได้อย่างปลอดภัยระหว่างปฏิบัติการของอิสราเอลทางตอนใต้ของกาซา เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากอย่างที่ผ่านมา
กระนั้น โดรอน สปีลแมน โฆษกกองทัพอิสราเอลแถลงว่า กองทัพจะปรับเข้าสู่โหมดปฏิบัติการอย่างรวดเร็วและโจมตีเป้าหมายในกาซาต่อหากข้อตกลงหยุดยิงสิ้นสุดลง
เช่นเดียวกับฮามาสที่ประกาศให้นักรบเตรียมพร้อมระดับสูงตลอดเวลา ภายใต้การคาดการณ์ว่า การสู้รบจะเริ่มขึ้นอีกครั้งหากไม่มีการต่ออายุข้อตกลงหยุดยิง
วันเดียวกันนั้น อันโตนิโอ กูเตียร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุว่า ฉนวนกาซากำลังอยู่ท่ามกลางหายนะใหญ่ด้านมนุษยธรรม และเรียกร้องให้หยุดยิงเต็มรูปแบบแทนการหยุดยิงชั่วคราว ทว่า ทั้งอิสราเอลและอเมริกายืนกรานปฏิเสธคำขอนี้โดยอ้างว่า จะเป็นประโยชน์กับฮามาส
ขณะเดียวกัน หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ที่เข้าร่วมการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็นที่นิวยอร์ก เรียกร้องให้อิสราเอลและฮามาสหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรมอย่างยั่งยืนทันที
(ที่มา: เอเอฟพี, รอยเตอร์)