ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน บรรลุข้อตกลงฟื้นฟูการสื่อสารระหว่างกองทัพ และจะร่วมมือกันสกัดกั้นการผลิตยาเฟนทานิล (fentanil) และส่งเสริมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) ซึ่งถือเป็นความคืบหน้าครั้งสำคัญจากการพบปะซึ่งหน้าครั้งแรกระหว่างผู้นำ 2 ชาติมหาอำนาจในรอบ 1 ปี
การหารือที่ใช้เวลาราว 4 ชั่วโมงครั้งนี้นับเป็นสัญญาณบวกสำหรับทั้งจีนและสหรัฐฯ ซึ่งค่อยๆ กลับมาฟื้นฟูความร่วมมือกันอีกครั้ง หลังจากที่ปักกิ่งตัดความสัมพันธ์เหล่านั้นไปในเดือน ส.ค. ปี 2022 ภายหลังการเดินทางเยือนไต้หวันของ แนนซี เพโลซี ซึ่งเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ในขณะนั้น
“เราได้กลับมาเปิดการสื่อสารทางตรงที่ชัดเจนและเปิดเผย” ไบเดน ระบุในงานแถลงข่าวภายหลังการประชุมเมื่อวันพุธ (15 พ.ย.) พร้อมเตือนว่าระหว่างประเทศใหญ่ๆ นั้น ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอาจนำมาซึ่งปัญหาร้ายแรง
“เขาและผมตกลงกันว่า เราฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถยกหูโทรศัพท์ถึงกันได้โดยตรง และจะรับฟังความคิดเห็นกันในทันที” ผู้นำสหรัฐฯ กล่าว
แม้จะยอมรับว่าการหารือกับ สี ครั้งนี้เป็นการพูดคุยที่สร้างสรรค์ และได้ผลลัพธ์มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่ ไบเดน ก็ยังไม่วายประณามผู้นำจีนผ่านสื่อว่าเป็น “เผด็จการ”
“เขาเป็นเผด็จการในแง่ที่ว่า เขาคือผู้ปกครองประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์” ไบเดน กล่าวกับสื่อมวลชน พร้อมเสริมว่ารัฐบาลจีนนั้น “แตกต่างจากเราอย่างสิ้นเชิง”
ไบเดน ต้องการพูดคุยโดยตรงกับ สี มานานหลายเดือนแล้ว โดยหวังใช้สายสัมพันธ์ส่วนตัวที่มีมานานนับสิบปีกับ สี ซึ่งเป็นผู้นำที่ทรงอำนาจที่สุดของจีนนับตั้งแต่ยุค เหมา เจ๋อตง เพื่อกอบกู้ความสัมพันธ์วอชิงตัน-ปักกิ่งที่กำลังร่วงดิ่งเหว
การหารือนอกรอบระหว่างผู้นำทั้งสองมีขึ้นที่คฤหาสน์ฟิโลลี (Filoli Estate) ในเมืองวูดไซด์ (Woodside) ซึ่งอยู่ห่างจากนครซานฟรานซิสโกไปทางใต้ประมาณ 40 กิโลเมตร โดยสถานที่นี้ได้ถูกเลือกเฟ้นมาอย่างรัดกุม เนื่องจากมีบรรยากาศอันร่มรื่น ห่างไกลชุมชน และสะดวกในการรักษาความปลอดภัย
ผลการหารือซึ่งเป็นที่คาดการณ์กันอยู่แล้วก่อนการประชุมซัมมิตถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญที่ช่วยยกระดับความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ที่อยู่ในภาวะแช่แข็งมานานหลายเดือน แต่กระนั้นทั้ง 2 ฝ่ายก็ยังไม่ถึงขั้นออกคำแถลงร่วม (joint statement) หรือประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการ
ภายหลังเสร็จสิ้นการเจรจารอบเช้าและก่อนที่จะรับประทานอาหารกลางวันร่วมกับผู้นำจีน ไบเดนได้โพสต์ข้อความลงแพลตฟอร์ม X ว่า ความเข้าอกเข้าใจกันระหว่างตน และ สี จิ้นผิง ในฐานะ “ผู้นำต่อผู้นำ” เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
“โลกกำลังเผชิญความท้าทายที่รุนแรงหลายประการซึ่งจำเป็นจะต้องอาศัยความเป็นผู้นำร่วมของเราทั้งสอง และวันนี้เรามีความคืบหน้าอย่างแท้จริง” ไบเดน กล่าว
หลังจากที่รับประทานอาหารกลางวันร่วมกันแล้ว สี และ ไบเดน ได้เดินสนทนากันภายในสวนของคฤหาสน์ฟิโลลี โดยผู้นำสหรัฐฯ ได้โบกมือทักทายสื่อมวลชนที่มารอเก็บภาพ และยกนิ้วโป้ง 2 นิ้วเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าการหารือกับประธานาธิบดีจีน “ดำเนินไปด้วยดี”
ทำเนียบขาวได้ออกคำแถลงระบุว่า ผู้นำสหรัฐฯ และจีน “ได้หารือกันอย่างเปิดใจและสร้างสรรค์เกี่ยวกับกิจการทวิภาคีและประเด็นระดับโลกหลายเรื่อง และได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายมองแตกต่างกัน”
ไบเดน กล่าวว่า สหรัฐฯ และจีนจำเป็นที่จะต้องรับรองว่า การแข่งขันระหว่างทั้งสองชาติ “จะไม่เบี่ยงเบนไปสู่ความขัดแย้ง” และจะต้องบริหารจัดการความสัมพันธ์ “อย่างรับผิดชอบ” ขณะที่ สี จิ้นผิง ก็บอกกับคณะเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ว่า “โลกใบนี้กว้างใหญ่พอที่ทั้งสองประเทศจะประสบความสำเร็จร่วมกันได้”
สำนักข่าวซินหวาของจีนรายงานว่า ผู้นำทั้งสองตกลงที่จะฟื้นฟูการสื่อสารระดับสูงระหว่างกองทัพทั้ง 2 ฝ่าย “บนพื้นฐานของความเท่าเทียมและการเคารพซึ่งกันและกัน” นอกจากนี้ ก็จะรื้อฟื้นการประชุมหารือระหว่างกระทรวงกลาโหม การปรึกษาหารือด้านความมั่นคงทางทะเล รวมถึงการพูดคุยระหว่างผู้นำกองบัญชาการยุทธบริเวณต่างๆ ด้วย
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ เผยก่อนการประชุมซัมมิตว่า เจ้าหน้าที่จีนแสดงท่าที “ลังเล” ตลอดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาที่จะฟื้นการสื่อสารระหว่างกองทัพ แต่นี่คือประเด็นที่ทั้ง ไบเดน และที่ปรึกษาอาวุโสทุกๆ คนไม่ว่าจะเป็น แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของทำเนียบขาว และ ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ พยายามหยิบยกขึ้นมาคุยกับจีนในทุกๆ ครั้งที่เจรจากัน
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ย้ำด้วยว่า เหตุการณ์ “บอลลูนสอดแนมจีน” ลอยเข้าน่านฟ้าสหรัฐฯ เมื่อเดือน ก.พ. คือตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า การสื่อสารระหว่างกองทัพสหรัฐฯ และจีนมีความสำคัญยิ่งยวดเพียงใด
ไบเดน และ สี ยังเห็นพ้องกันว่าจีนจะควบคุมการส่งออกวัตถุดิบต่างๆ ที่ใช้ในการผลิต “เฟนทานิล” ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาการใช้สารเสพติดเกินขนาดในสหรัฐฯ โดยผู้นำสหรัฐฯ ชี้ว่าข้อตกลงนี้ “จะช่วยรักษาชีวิตผู้คน” พร้อมทั้งแสดงความซาบซึ้งที่ สี ให้คำมั่นว่าจะร่วมมือกับสหรัฐฯ ในประเด็นนี้
เฟนทานิลเป็นสารโอปิออยด์สังเคราะห์หรือสารระงับความปวดที่มีความรุนแรงมากกว่าเฮโรอีนถึง 50 เท่า และมักถูกนำไปผสมกับยาเสพติดอื่นๆ เพื่อเพิ่มการออกฤทธิ์ให้แรงขึ้น
จำนวนผู้เสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดที่พัวพันกับสารเฟนทานิลในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าตัวระหว่างช่วงปี 2016 จนถึงปี 2021 ตามข้อมูลจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) ขณะที่ข้อมูลสถิติของรัฐบาลสหรัฐฯ พบว่า ในแต่ละปีมีคนเสียชีวิตจากการใช้สารโอปิออยด์สังเคราะห์เกินขนาดนับหมื่นๆ ราย
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่าสารเคมีหลายชนิดที่ใช้ในกระบวนการผลิตเฟนทานิลนั้นมาจากจีน และภายใต้ข้อตกลงระหว่าง สี กับ ไบเดน รัฐบาลจีนจะดำเนินการตรวจสอบและปราบปรามบริษัทจีนบางรายที่ผลิตสารเคมีซึ่งนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการทำเฟนทานิล
ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ยืนยันว่า “จีนไม่มีแผนที่จะก้าวแซงหน้าหรือโค่นความเป็นมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของสหรัฐฯ และสหรัฐฯ เองก็ควรที่จะหยุดวางแผนกดดันหรือปิดล้อมจีน” ตามรายงานของซินหวา
“ทั้งสองฝ่ายเข้าควรเข้าใจหลักการและพื้นฐานของกันและกัน ไม่สร้างปัญหาหรือกระทำการล้ำเส้นกัน (แต่ในทางกลับกัน) ควรที่จะสื่อสาร พูดคุย หารือกันให้มากยิ่งขึ้น และจัดการความเห็นต่างและอุบัติเหตุไม่คาดฝันต่างๆ อย่างสุขุมรอบคอบ” สี กล่าว
ผู้นำจีนบอกด้วยว่า “มุมมองเชิงลบ” ที่ชาวอเมริกันมีต่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นเป็นเรื่องที่ “ไม่แฟร์”
สี ยังย้ำเตือน ไบเดน ว่าประเด็นไต้หวันถือเป็นเรื่อง “สำคัญและละเอียดอ่อนที่สุด” ในความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ และวอชิงตันควรมีแนวทางปฏิบัติอย่างจริงจังตามที่เคยรับปากกับจีนไว้ว่าจะไม่สนับสนุนให้ไต้หวันเป็นเอกราช นอกจากนี้ ยังขอให้สหรัฐฯ หยุดขายอาวุธเสริมเขี้ยวเล็บให้ไต้หวัน และหันมาสนับสนุนการรวมชาติจีนอย่างสันติ (peaceful reunification)
“จีนจะรวบรวมชาติได้สำเร็จในที่สุด และจะประสบความสำเร็จในการรวบรวมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” ซินหวา อ้างคำพูดของ สี
ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศจุดยืนว่าอเมริกาเชื่อในสถานะปัจจุบัน (status quo) และเน้นย้ำความจำเป็นที่จะต้องคงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน นอกจากนี้ ยังขอให้จีนเคารพกระบวนการเลือกตั้งในไต้หวันที่จะมีขึ้นในเดือน ม.ค.ปีหน้าด้วย
เจ้าหน้าที่อเมริกันรายหนึ่งให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมซัมมิตว่า สี จิ้นผิง ไม่ได้มีทีท่าว่ากำลังเตรียมพร้อมบุกไต้หวันในอนาคตอันใกล้ แต่ก็มีการเอ่ยถึง “เงื่อนไขต่างๆ” ที่อาจทำให้จีนจำเป็นต้องใช้กำลังทหาร
ผู้นำสหรัฐฯ และจีนยังได้พูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง โดย ไบเดน ขอร้องให้ สี ใช้อิทธิพลของปักกิ่งกดดัน “อิหร่าน” ไม่ให้กระพือไฟสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส และย้ำว่าตนมองพวกฮามาสแตกต่างจากพลเรือนชาวปาเลสไตน์ทั่วๆ ไป
หวัง อี้ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศจีน บอกกับสหรัฐฯ ว่าจีนได้มีการพูดคุยกับอิหร่านในประเด็นดังกล่าวแล้ว แต่ผู้ช่วยของ ไบเดน ยอมรับว่ายังไม่แน่ใจว่าอิหร่านจะยอมรับฟังจีนมากน้อยเพียงใด
ในส่วนของมาตรการกีดกันการค้าที่สหรัฐฯ ใช้กับจีน ประธานาธิบดี สี ชี้ว่าสิ่งที่สหรัฐฯ ทำอยู่เข้าข่ายเป็นการ “ปิดล้อมทางเทคโนโลยี” (technological containment) แต่ ไบเดน ก็ตอบกลับอย่างชัดเจนว่า สหรัฐฯ จะไม่ยอมขายเทคโนโลยีใดๆ ที่จีนอาจนำไปใช้ประโยชน์ในทางการทหารเพื่อต่อต้านอิทธิพลของอเมริกา
ไบเดน ได้แสดงความกังวลต่อ สี เกี่ยวกับมาตรการข่มขู่คุกคามภาคธุรกิจสหรัฐฯ ในจีน และเรียกร้องให้ปักกิ่งแสดงความโปร่งใสเกี่ยวกับการเพิ่มปริมาณหัวรบนิวเคลียร์ ขณะเดียวกัน ผู้นำทั้งสองก็ได้หารือเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และตกลงที่จะทำงานร่วมกันเพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าในด้านนี้