เอเจนซีส์/รอยเตอร์ - KCNA ของเกาหลีเหนือแถลงอ้าง เปียงยางประสบความสำเร็จการทดสอบเครื่องยนต์มิสไซล์พิสัยข้ามทวีป ICBM แบบเชื้อเพลิงได้เป็นครั้งแรกหลังการทดสอบลับวันเสาร์ (11 พ.ย.) และวันอังคาร (14 พ.ย.) ในวันเดียวกันที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน ร่วมประชุมกองบัญชาการยูเอ็น UNC ที่กรุงโซล ออกมาเปิดเผยว่า เปียงยางได้รัสเซียและจีนหนุนหลังในการเพิ่มความสามารถทางการทหาร
เดลีเทเลกราฟ สื่ออังกฤษรายงานวานนี้ (15 พ.ย.) ว่า เทคโนโลยีนี้หากว่าประสบความสำเร็จจะส่งให้มิสไซล์ติดหัวรบนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือสามารถเข้าโจมตีได้ตั้งแต่เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และรวมไปถึงที่ตั้งทางการทหารของสหรัฐฯ ที่เกาะกวม อาณานิคมของอเมริกาในมหาสมุทรแปฟิซิก
KCNA สำนักข่าวทางการเกาหลีเหนือรายงานว่า เปียงยางทำการทดสอบเครื่องยนต์มิสไซล์ ICMB แบบเชื้อเพลิงแข็งในวันเสาร์ (11) และวันอังคาร (14) ท่ามกลางการรายงานถึงความร่วมมือในความสัมพันธ์ทางการทหารระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซียในไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเพื่อต่อต้านสหรัฐฯ สำหรับผลประโยชน์ภายในภูมิภาคอินโด-แปฟิซิก
ข่าวการทดสอบเครื่องยนต์ใหม่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันที่เปียงยางเปิดเผยการมาเยือนของรัฐมนตรีทรัพยากรธรมชาติรัสเซีย อเล็กซานเดอร์ คอซลอฟ (Alexander Kozlov) ที่นำคณะมาเยือนกรุงเปียงยางในการเจรจาทางการค้า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
คณะการเยือนของคอซลอฟเกิดขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงมอสโกพาเหรดบินเข้ากรุงเปียงยางถี่ยิบท่ามกลางความสงสัยว่า ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน จะช่วยเปียงยางสร้างโครงการอาวุธนิวเคลียร์ให้มีความร้ายแรงมากขึ้น
KCNA รายงานว่า เปียงยางประสบความสำเร็จในการพัฒนาเครื่องยนต์เชื้อเพลิงแข็งแบบใหม่สำหรับจรวดมิสไซล์ พร้อมประกาศว่านี่ถือเป็นก้าวสำคัญทางความก้าวหน้าอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ซึ่งมิสไซล์ที่ใช้เชื้อเพลิงแข็งจะมีความพร้อมที่จะยิงออกไปได้เร็วกว่าแบบเชื้อเพลิงเหลว และยังง่ายต่อการเคลื่อนย้ายและการหลบซ่อนจากข้าศึก และอีกทั้งในทางทฤษฎีเชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามตรวจจับยากและสามารถใช้จู่โจมล่วงหน้าได้อีกด้วย
ในแถลงการณ์ของสื่อทางการเกาหลีเหนือระบุว่า เปียงยางประสบความสำเร็จในการทดสอบเครื่องยนต์สเตจแรกและเครื่องยนต์สเตจที่สองของจรวดมิสไซล์เช่นกัน
รอยเตอร์รายงานว่า และในวันพฤหัสบดี (16) เปียงยางยังออกมาโจมตีต่อการเดินทางมาเยือนกรุงโซลของรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ลอยด์ ออสติน ที่เดินทางมาร่วมการประชุมกองบัญชาการยูเอ็น UNC (UN Command) ที่กระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ในสัปดาห์นี้ โดยชี้ว่าเป็นการทำให้เกิดความตึงเครียดภายในภูมิภาค
“กองกำลังเกาหลีเหนือจะยังคงควบคุมและจัดการทุกภัยคุกคามต่อความมั่นคงประเทศและผลประโยชน์ด้วยการตอบโต้อย่างมหาศาลผ่านปฏิบัติการทางการทหารป้องปรามทางยุทธวิธีอย่างชัดเจน”
เกิดขึ้นเมื่อทั้งออสติน รัฐมนตรีกลาโหมเกาหลีใต้ ชิน วอนซิค (Shin Won-sik) และตัวแทนจากอีก 16 ชาติเข้าร่วมการประชุมกองบัญชาการยูเอ็น UNC ในวันอังคาร (14)
รอยเตอร์ชี้ว่า รัฐมนตรีกลาโหมผิวสีของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ทั้งสหรัฐฯ และชาติสมาชิก UNC มีความวิตกว่ารัสเซียและจีนได้เข้าช่วยเกาหลีเหนือให้เพิ่มศักยภาพทางการทหาร และช่วยเปียงยางในการหลบเลี่ยงมติลงโทษจากสหประชาชาติ
พร้อมกันนี้ ทั้งหมดต่างมีปฏิญญาร่วมกันในการต่อต้านความก้าวร้าวใดๆ จากเกาหลีเหนือที่จะมีต่อเกาหลีใต้
ขณะเดียวกัน ในวันจันทร์ (13) ก่อนหน้า เกาหลีเหนือได้ออกมาเรียกร้องให้มีการยุบกองบัญชาการยูเอ็น UNC ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1950 ที่เป็นผู้กำกับข้อตกลงหยุดยิงระหว่าง 2 ชาติเกาหลีและปกป้องสันติภาพ รวมไปถึงเป็นช่องทางการติดต่อกับเปียงยาง แต่ทว่าฝ่ายเกาหลีเหนือในวันจันทร์ (13) อ้างว่า UNC เป็นเครื่องมือของสหรัฐฯ