กลุ่มชาติอุตสาหกรรมชั้นนำ G7 เรียกร้องในวันพุธ (8 พ.ย.) ให้มีการหยุดพักรบเป็นช่วงๆ (humanitarian pauses) ในฉนวนกาซา เพื่อเปิดทางส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่พลเรือนและเอื้อต่อการปลดปล่อยตัวประกัน พร้อมทั้งเรียกร้องให้อิสราเอลและปาเลสไตน์หวนกลับสู่กระบวนการเจรจาสันติภาพ ขณะที่กองทัพอิสราเอลยังคงเดินหน้ากระชับวงล้อมบุกโจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มฮามาส
ขณะนี้เมืองกาซาซิตีซึ่งเป็นฐานที่มั่นหลักของกลุ่มฮามาสถูกทหารอิสราเอลปิดล้อมเอาไว้ทุกด้าน โดยกองทัพอิสราเอลระบุว่า ทหารยิวกำลังรุกคืบเข้าสู่ใจกลางเมืองซึ่งมีประชากรหนาแน่นแห่งนี้เพื่อบุกทลายเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดินของฮามาส และยังอ้างว่าปฏิบัติการโจมตีทางอากาศได้สังหาร “มือผลิตอาวุธ” และนักรบฮามาสไปเป็นจำนวนมาก
ชาวปาเลสไตน์หลายพันคนแห่อพยพออกจากตอนเหนือของกาซาในวันพุธ (8) หลังกองทัพอิสราเอลประกาศให้เวลา 4 ชั่วโมงในการหลบหนี ไม่เช่นนั้นก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะติดอยู่ท่ามกลางการสู้รบทั้งทางอากาศและภาคพื้นดินระหว่างทหารอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส
อย่างไรก็ตาม พลเรือนที่หอบลูกจูงหลานหนีตายมายังพื้นที่ตอนกลางและใต้ของฉนวนกาซาก็ยังหนีไม่พ้นถูกโจมตีทางอากาศอย่างหนักหน่วง ขณะที่สงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสยืดเยื้อเข้าสู่เดือนที่ 2
G7 ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 7 ชาติ ได้แก่ อังกฤษ แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ โดยมีสหภาพยุโรป (อียู) ร่วมเจรจาด้วย ได้เผยแพร่คำแถลงร่วมภายหลังการประชุม 2 วันที่กรุงโตเกียว โดยยังคงย้ำถึงสิทธิของอิสราเอลในการป้องกันตนเอง แต่ก็ย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องปกป้องชีวิตพลเรือนผู้บริสุทธิ์ และเคารพกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ
G7 ย้ำว่าทางกลุ่มมุ่งมั่นที่จะแสวงหาทางออกระยะยาวสำหรับกาซา และจะพยายามดึงคู่ขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่ายกลับสู่กระบวนการเจรจาสันติภาพ “ตามแนวทางที่นานาชาติเห็นพ้อง” ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่าบรรดารัฐมนตรีมีความเห็นตรงกันว่า “แนวทางสร้าง 2 รัฐที่ดำรงอยู่ควบคู่กัน (two-state solution) เป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่สันติภาพที่มีความเป็นธรรม ยั่งยืน และปลอดภัย”
นับเป็นครั้งที่สองแล้วที่ G7 ได้ออกคำแถลงร่วมเกี่ยวกับวิกฤตการณ์ในกาซา ซึ่งปะทุขึ้นหลังจากที่กลุ่มฮามาสบุกจู่โจมภาคใต้ของอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. และสังหารประชาชนไปราว 1,400 คน อีกทั้งยังจับชาวอิสราเอลและต่างชาติไปเป็นตัวประกันอีกกว่า 240 ชีวิต
ในทางกลับกัน การโจมตีแก้แค้นของอิสราเอลก็ได้คร่าชีวิตพลเรือนปาเลสไตน์ในกาซาไปแล้วกว่า 10,000 คน ในจำนวนนี้ 40% เป็นเด็ก ตามข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขกาซา
เมื่อถามว่ารัฐสมาชิก G7 ทั้งหมดสนับสนุนการพักรบเป็นช่วงๆ หรือว่ามีบางประเทศที่เห็นด้วยกับการหยุดยิงเต็มรูปแบบ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ให้คำตอบว่า คำแถลงร่วมที่ออกมา “สะท้อนมุมมองของ G7 อย่างแม่นยำ” และทางกลุ่มมีความเห็นที่ “เป็นเอกภาพ” ต่อปัญหานี้
คำแถลงร่วมฉบับนี้ยังย้ำเรื่องการสนับสนุนยูเครนในสงครามขับไล่รัสเซีย เน้นความจำเป็นที่จะต้องพูดคุยกับจีนแบบตรงไปตรงมา และประณามเกาหลีเหนือเรื่องการทดสอบขีปนาวุธและการส่งมอบอาวุธให้แก่รัสเซีย
นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอล ยอมรับว่ารัฐบาลของเขากำลังพิจารณา “การพักรบเชิงยุทธวิธีเป็นช่วงๆ” (tactical little pauses) แต่ยืนกรานปฏิเสธข้อเรียกร้องหยุดยิงเต็มรูปแบบ โดยอ้างว่าการทำเช่นนั้นจะเปิดโอกาสให้พวกฮามาสมีเวลาฟื้นตัวและซ่องสุมกำลังพลกลับมาโจมตีอิสราเอลได้อีก
รัฐมนตรี G7 ยังได้มีการหารือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับกาซาภายหลังสงครามครั้งนี้จบลง รวมไปถึงแนวทางที่จะฟื้นฟูการเจรจาสันติภาพในตะวันออกกลาง
รัฐบาลอิสราเอลยังไม่ได้ประกาศชัดเจนว่ามีแผนระยะยาวสำหรับกาซาอย่างไร แต่ เนทันยาฮู ได้ออกมาพูดในสัปดาห์นี้ว่า อิสราเอลอาจจะเข้าไปรับผิดชอบดูแลความมั่นคงภายในกาซา “อย่างไม่มีกำหนด”
อย่างไรก็ตาม จอห์น เคอร์บี โฆษกทำเนียบขาว ได้ให้สัมภาษณ์ในวันอังคาร (7) ว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ไม่สนับสนุนให้กองทัพอิสราเอลเข้ายึดครองฉนวนกาซา
"ประธานาธิบดี ไบเดน เชื่อว่า การกลับเข้ายึดครองกาซาของกองกำลังอิสราเอลไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องที่ควรทำ" เคอร์บี ระบุ
เอลี โคเฮน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอิสราเอล ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) ว่า อิสราเอลต้องการให้ฉนวนกาซาอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของกลุ่มพันธมิตรนานาชาติ ซึ่งประกอบด้วยสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และบรรดาชาติมุสลิม เป็นต้น หรือไม่ก็มีผู้นำทางการเมืองขึ้นมาปกครอง
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม G7 ว่า ฉนวนกาซาไม่อาจอยู่ภายใต้การปกครองของทั้งฮามาสและอิสราเอล
“ในความเป็นจริงอาจจำเป็นต้องมีช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านหลังสงครามจบลง แต่เราไม่สนับสนุนการกลับเข้าไปยึดครองกาซา (โดยอิสราเอล) และเท่าที่ผมได้ทราบจากผู้นำอิสราเอล พวกเขาก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะกลับเข้าไปยึดครองกาซา”
บลิงเคน ย้ำว่า สันติภาพที่ยั่งยืนนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อกาซาและเวสต์แบงก์ถูกรวบรวมเป็นหนึ่งเดียวภายใต้การปกครองโดยองค์การบริหารแห่งชาติปาเลสไตน์ (Palestinian Authority) และจะต้องไม่มีการบังคับเคลื่อนย้ายชาวปาเลสไตน์ออกไปจากฉนวนกาซา และต้องไม่ลดขนาดพื้นที่ของกาซาลงด้วย
ขณะเดียวกัน รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหลายประเทศเริ่มออกมาแสดงท่าทีประท้วงการโจมตีของอิสราเอลที่เข่นฆ่าพลเรือนกาซาไปเป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่นรัฐบาลจอร์แดนซึ่งเรียกตัวเอกอัครราชทูตประจำกรุงเทลอาวีฟกลับประเทศ และขอให้เอกอัครราชทูตอิสราเอลงดเดินทางกลับมายังจอร์แดน ซึ่งเท่ากับประกาศให้ทูตอิสราเอลเป็น “บุคคลไม่พึงประสงค์” (persona non grata)
มาร์วาน อัล-มูอาเชอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศจอร์แดนซึ่งปัจจุบันเป็นรองประธานฝ่ายการศึกษาของกองทุน Carnegie Endowment for International Peace ได้ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า เวลานี้ชาวอาหรับทั้งหลายมองสหรัฐฯ ว่าเป็นชาติที่ “สมรู้ร่วมคิด” กับอิสราเอล เนื่องจากปฏิเสธข้อเสนอหยุดยิงจนกว่าอิสราเอลจะบดขยี้ฮามาสจนสิ้นซาก ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน หรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“ต้องให้ถึงจุดไหนประชาคมโลกถึงจะมองว่าพอ? เราสูญเสียชีวิตพลเรือนไป 10,000 คนแล้ว” มาร์วาน กล่าวในวงเสวนา Reuters NEXT ซึ่งจัดขึ้นที่นครนิวยอร์ก
อดีตนักการทูตผู้นี้เตือนว่า การผลักดันให้อิสราเอลและฮามาสหยุดยิงเต็มรูปแบบควรเป็นสิ่งที่นานาชาติให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก เพราะความขัดแย้งครั้งนี้ไม่อาจแก้ไขให้จบลงได้ด้วยปฏิบัติการทางทหาร เว้นเสียแต่อิสราเอลจะยุติการยึดครองดินแดนปาเลสไตน์อย่างสมบูรณ์
“เราจำเป็นต้องหาวิธีหยุดยิงเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เริ่มจัดการกับต้นตอของความขัดแย้ง เพราะถ้าคุณไม่จัดการมัน คุณจะไม่มีทางแก้ปัญหาได้เลย และต้นตอของความขัดแย้งก็คือการยึดครอง” มูอาเชอร์ ซึ่งเคยเป็นทั้งอดีตรองนายกรัฐมนตรีจอร์แดน และอดีตเอกอัครราชทูตจอร์แดนประจำสหรัฐฯ และอิสราเอล ระบุ
มูอาเชอร์ ยังเตือนด้วยว่า “ในมุมมองของผม รัฐบาลสหรัฐฯ ทุกวันนี้กำลังถูกชาวอาหรับมองว่าสมรู้ร่วมคิดกับการสังหารหมู่ เพราะสหรัฐฯ เองปฏิเสธไม่สนับสนุนให้หยุดยิงจนกว่าฮามาสจะถูกบดขยี้จนสิ้นซาก ซึ่งมันต้องใช้เวลาอีกยาวนาน และจะเป็นไปได้หรือเปล่าก็ไม่รู้”
อันโตนีโอ กูเตียร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ตั้งข้อสังเกตผ่านวงเสวนา Reuters NEXT เช่นกันว่า ยอดพลเรือนที่เสียชีวิตนับหมื่นคนในกาซาตลอดช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเป็นเครื่องสะท้อนว่าปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลมีบางอย่างผิดพลาดอย่างมาก
“จริงอยู่ที่พวกฮามาสกระทำการล่วงละเมิดโดยใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ แต่หากเราดูจำนวนพลเรือนที่เสียชีวิตจากปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้ จะเห็นเลยว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเอามากๆ” กูเตียร์เรส กล่าว
เพตรา เดอ ซัตเตอร์ รองนายกรัฐมนตรีเบลเยียม ออกมาเรียกร้องในวันพุธ (8) ให้รัฐบาลเบลเยียมกำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่ออิสราเอล และให้เปิดการสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาล และค่ายผู้ลี้ภัยในกาซา
“ถึงเวลาแล้วที่จะต้องแซงก์ชันอิสราเอล การทิ้งระเบิดเป็นห่าฝนถือเป็นสิ่งที่ไร้มนุษยธรรม” เดอ ซัตเตอร์ ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ Nieuwsblad พร้อมระบุว่า “เห็นได้ชัดว่าอิสราเอลไม่ได้ใส่ใจเสียงเรียกร้องจากนานาชาติที่ให้มีการหยุดยิง”
เดอ ซัตเตอร์ ยังเรียกร้องให้สหภาพยุโรประงับข้อตกลงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการเมืองกับอิสราเอลในทันที ตลอดจนห้ามไม่ให้พวกผู้ตั้งถิ่นฐานหัวรุนแรง นักการเมือง หรือนายทหารที่พัวพันกับการก่ออาชญากรรมสงครามเดินทางเข้ามายังอียู นอกจากนี้ ยังขอให้เบลเยียมเพิ่มงบประมาณสนับสนุนศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) เพื่อสอบสวนการทิ้งระเบิดโจมตีพลเรือนปาเลสไตน์ รวมถึงตัดเส้นทางการเงินของพวกฮามาสด้วย
ขณะเดียวกัน รอยเตอร์อ้างข้อมูลจากแหล่งข่าวซึ่งระบุเมื่อวันพุธ (8) ว่า รัฐบาลกาตาร์ซึ่งร่วมมือกับสหรัฐฯ กำลังเดินหน้าเจรจากับกลุ่มฮามาสให้ปลดปล่อยตัวประกัน 10-15 คน เพื่อแลกกับการที่กองทัพอิสราเอลจะยอมพักรบเพื่อมนุษยธรรมเป็นเวลา 1-2 วัน
ด้านหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สอ้างบทสัมภาษณ์ของนาย ปานปรีย์ พหิทธานุกร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ซึ่งระบุว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยกำลังเร่งดำเนินการเพื่อรับประกันว่าแรงงานไทยที่ปรากฏอยู่ในภาพถ่ายของบรรดาตัวประกันที่ถูกลักพาตัวไปจากทางใต้ของอิสราเอล เมื่อวันที่ 7 ต.ค. จะได้รับการปล่อยตัวเร็วๆ นี้ โดยนายปานปรีย์ เปิดเผยว่าได้รับแจ้งเจ้าหน้าที่กาตาร์และอียิปต์ว่าคนไทยในกาซาถูกกักขังแยกเป็น 2 หรือ 3 กลุ่ม และบางส่วนถูกจับเป็นตัวประกันโดยกลุ่มติดอาวุธกลุ่มอื่นที่ไม่ใช่ฮามาส ซึ่งหากมีการปล่อยตัวประกันคนไทยที่จุดผ่านแดนราฟาห์ ทางการอียิปต์ก็อนุญาตให้ทูตไทยสามารถเดินทางไปรับตัวประกันที่จุดผ่านแดนได้ทันที
ทั้งนี้ พลเรือนไทยถือเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดอันดับ 2 รองจากชาวอิสราเอลในบรรดาตัวประกันทั้งหมดราว 240 คนที่ถูกนักรบฮามาสจับตัวไป


