ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ณ นครนิวยอร์ก ลงมติด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นวานนี้ (27 ต.ค.) โดยเรียกร้องให้อิสราเอลและฮามาสหยุดยิงเพื่อมนุษยธรรม (humanitarian truce) เปิดเส้นทางส่งความช่วยเหลือที่จำเป็นเข้าไปยังฉนวนกาซา รวมถึงปกป้องชีวิตพลเรือนผู้บริสุทธิ์
ร่างมติซึ่งเสนอโดยกลุ่มชาติอาหรับแม้ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย แต่ก็มีน้ำหนักในทางการเมือง และสะท้อนถึงความวิตกกังวลของทั่วโลกต่อหายนะด้านมนุษยธรรมที่กำลังเกิดขึ้น ขณะที่กองทัพอิสราเอลเร่งยกระดับโจมตีกาซาเพื่อแก้แค้นที่พวกฮามาสจู่โจมสังหารพลเรือนยิวครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 75 ปี
ร่างมตินี้ได้รับเสียงสนับสนุนจากรัฐสมาชิกยูเอ็น 120 ชาติ โดยมี 45 ชาติงดออกเสียง และอีก 14 ชาติไม่เห็นด้วย ซึ่งรวมถึงสหรัฐฯ และอิสราเอล
อย่างไรก็ตาม อิรักได้ขอเปลี่ยนการลงคะแนนจาก “งดออกเสียง” เป็น “เห็นด้วย” ซึ่งทำให้มตินี้ได้เสียงสนับสนุนจาก 121 ชาติ โดยมี 44 ชาติงดออกเสียง
ทั้งนี้ การลงมติในเวทีสมัชชาใหญ่ยูเอ็นนั้นจะต้องได้เสียงสนับสนุนถึง 2 ใน 3 จึงจะผ่าน โดยไม่นับประเทศที่งดออกเสียง ซึ่งการโหวตครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่คณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น (UNSC) ล้มเหลวในการลงมติเพื่อแก้ไขความขัดแย้งอิสราเอล-ฮามาสมาแล้วถึง 4 ครั้งในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
“นี่คือการส่งสารไปยังทุกๆ คนว่าพอได้แล้ว สงครามครั้งนี้จะต้องยุติเสียที การเข่นฆ่าพลเรือนของเราจะต้องยุติลงเสียที และต้องเริ่มส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าไปยังฉนวนกาซา” ริยาด มันซูร์ ผู้แทนปาเลสไตน์ประจำยูเอ็น ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน
กิลาด เออร์ดัน เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำยูเอ็น ออกมาปฏิเสธไม่ยอมรับมติของนานาชาติ พร้อมชี้ว่ายูเอ็น “หมดแล้วซึ่งความชอบธรรมใดๆ” ที่จะยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องกับปัญหานี้ แถมยังกล่าวหาชาติที่โหวตเห็นด้วยว่าเลือกที่จะ “ปกป้องพวกผู้ก่อการร้ายนาซี” มากกว่าอิสราเอล
“นี่เป็นมติที่น่าขำและยังกล้าที่จะเรียกร้องให้มีการหยุดยิงอีก เป้าหมายของมตินี้ก็คือทำให้อิสราเอลหมดสิทธิป้องกันตนเองจากพวกฮามาส เพื่อปล่อยฮามาสจุดไฟเผาเราได้” เออร์ดัน แถลงต่อที่ประชุมยูเอ็นภายหลังการโหวต
ก่อนหน้านั้น แคนาดาได้เสนอให้แก้ไขร่างมติโดยเติมถ้อยคำคัดค้านและประณาม “การโจมตีก่อการร้ายโดยพวกฮามาส และการจับคนเป็นตัวประกัน” แต่สุดท้ายข้อเสนอนี้ก็ตกไป เนื่องจากได้รับเสียงสนับสนุนไม่ถึง 2 ใน 3 โดยมีเพียง 88 ชาติที่เห็นด้วย ขณะที่ 55 ชาติคัดค้าน และ 23 ชาติงดออกเสียง
มติของสมัชชาใหญ่ยูเอ็นยังย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้อง “ป้องกันไม่ให้เกิดความไร้เสถียรภาพ และการยกระดับความรุนแรงในภูมิภาค” รวมถึงเรียกร้อง “ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องใช้ความอดทนอดกลั้นอย่างถึงที่สุด และขอให้ผู้ที่มีอำนาจต่อรองทั้งหลายร่วมกันทำงานเพื่อมุ่งไปสู่จุดหมายนี้”
สมัชชาใหญ่ยูเอ็นยังขอให้รัฐบาลอิสราเอล “ยกเลิก” คำสั่งเมื่อวันที่ 12 ต.ค. ที่ทำให้พลเรือนปาเลสไตน์ราว 1.1 ล้านคนทางตอนเหนือของฉนวนกาซาต้องแห่อพยพหนีตายลงสู่ตอนใต้ และประกาศ “คัดค้านความพยายามใดๆ ก็ตามที่จะบังคับเคลื่อนย้ายพลเรือนชาวปาเลสไตน์”
อิสราเอลประกาศกร้าวว่าจะทำลายล้างพวกฮามาสซึ่งปกครองฉนวนกาซามาตั้งแต่ปี 2007 หลังจากที่กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์กลุ่มนี้บุกจู่โจมภาคใต้ของอิสราเอลแบบสายฟ้าแลบเมื่อวันที่ 7 ต.ค. และเข่นฆ่าชาวอิสราเอลไปถึง 1,400 คน อีกทั้งยังจับชาวอิสราเอลและต่างชาติไปเป็นตัวประกันมากกว่า 200 คน
ทางการปาเลสไตน์ระบุว่า ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลได้คร่าชีวิตพลเรือนในฉนวนกาซาไปแล้วมากกว่า 7,000 คน
มติของยูเอ็นยังเรียกร้องให้มีการ “ปลดปล่อยพลเรือนที่ถูกจับเป็นตัวประกันทั้งหมดในทันทีโดยปราศจากเงื่อนไข” ทว่าไม่ได้มีการเอ่ยถึงกลุ่มฮามาส
ที่มา : รอยเตอร์