รอยเตอร์/เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ - นายกรัฐมนตรีมาเลเซียวันนี้ (16 ต.ค.) แถลง นโยบายแดนเสือเหลืองคงความสัมพันธ์ติดอาวุธฮามาสต่อหลังโจมตีอิสราเอลอุกอาจ ไม่สนแรงกดดันตะวันตกบีบให้ออกโรงประณาม ฮือฮากระแสไวรัล TikTok มีทหารมาเลเซียไปปาเลสไตน์แต่กองทัพโร่ปฏิเสธ “ไม่จริง” อดีตผู้นำมหาเธร์-มูห์ยิดดินซิน ร่วมขบวนสนับสนุนปาเลสไตน์วันเสาร์ (14 ต.ค.) มีฉากเผาธงชาติยิว ยอดดับล่าสุดไม่ต่ำกว่า 2,600 คน ส่วนสหรัฐฯ พุ่ง 30 คน เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติยืนยัน เทลอาวีฟไม่ต้องการครอบครองเขตฉนวนกาซา NBC News รายงานพิเศษพบแผนคำสั่งโจมตี คิบบุตซ์ คฟาร์ อาซา (Kibbutz Kfar Aza) เป้าหมายเด็ก-ผู้หญิง ภาพสยองทารกสวมแพมเพิร์สดับ
รอยเตอร์รายงานวันนี้ (16 ต.ค.) ว่า นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม แถลงวันจันทร์ (16) ว่า ทางบรรดาชาติตะวันตกและยุโรปต่างถามย้ำกับมาเลเซียหลายครั้งในการประชุมให้ประณามต่อกลุ่มติดอาวุธฮามาส แต่ทว่าผู้นำแดนเสือเหลืองไม่เปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม
“ผมคิดว่าพวกเราซึ่งตามนโยบายแล้วมีความสัมพันธ์กับกลุ่มฮามาสมาตั้งแต่อดีตและนี่จะยังคงมีอยู่ต่อไป” อันวาร์แถลงวันจันทร์ (16) ต่อรัฐสภามาเลเซีย
และเสริมต่อว่า “เช่นนั้นแล้ว พวกเราไม่เห็นด้วยต่อทัศนคติแรงกัดดันจากการที่กลุ่มฮามาสก็เช่นกันชนะอย่างเสรีในเขตฉนวนกาซาผ่านการเลือกตั้งและชาวกาซาเลือกคนเหล่านั้นให้เป็นผู้นำ”
รอยเตอร์รายงานว่า อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นาจิบ ราซัค เมื่อปี 2013 ฝ่าฝืนการปิดกั้นของอิสราเอลในกาซา ได้ข้ามพรมแดนเข้าในเขตปาเลสไตน์ตามคำเชิญของกลุ่มติดอาวุธฮามาส
และที่ผ่านมาในอดีตมีแกนนำกลุ่มฮามาสหลายคนเดินทางมาที่มาเลเซียและพบกับผู้นำมาเลเซียหลายคน
ด้านมาเลย์เมล (malaymail) รายงานวันจันทร์ (15) ว่า กองทัพมาเลเซีย MAF (Malaysian Armed Forces) ในวันอาทิตย์ (15) ต้องรีบออกมาปฏิเสธข่าวถึงความเกี่ยวข้องทหารมาเลเซียต่อปาเลสไตน์ท่ามกลางวิกฤตความขัดแย้งอิสราเอล-ปาเลสไตน์ หลังมีคลิป TikTok กลายเป็นกระแสไวรัลที่ลือไปทั่วว่ามีทหารมาเลเซียส่งไปปาเลสไตน์
แต่ทางกองทัพอ้างว่าเป็นคลิปเก่าเกิดขึ้นในสมัยปี 2012 ที่ส่งกำลังทหารเข้าไปที่เลบานอน
สำนักงานใหญ่กองทัพมาเลเซียเปิดเผยว่าวิดีโอคลิปที่มีความยาว 1 นาที 36 วินาทีที่ถูกโพสต์ขึ้นโดยผู้ใช้ชื่อ @adamjohan64
“MAF ตรวจสอบเนื้อหาของวิดีโอคลิปและพบว่าเป็นวิดีโอคลิปเก่าของทหารกองทัพมาเลเซีย MAF ที่ถูกส่งไปในภารกิจกองกำลังรักษาสันติภาพชั่วคราวของสหประชาชาติในเลบานอน UNIFIL โดยสังกัดอยู่ภายใต้หน่วยของมาเลเซีย 850-10 (MALBATT 850-10) ประจำเลบานอนในปี 2012”
และในแถลงการณ์กองทัพมาเลเซียในคืนวันอาทิตย์ (15) ยังกล่าวว่า ขอปฏิเสธต่อเนื้อหาของวิดีโอคลิปอื้อฉาวที่เผยแพร่และขอยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นความจริงโดยสิ้นเชิง
นอกจากนี้ สำนักงานใหญ่กองทัพมาเลเซีย MAF ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนไม่ให้คิดในด้านทฤษฎีสมคบคิดหรือแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จจากการที่มันอาจสามารถสร้างความตื่นตกใจในหมู่ประชาชนสาธารณะทั่วไป
“ทางกองทัพขอย้ำว่าใครก็ตามถูกพบว่าเผยแพร่ข่าวปลอมนั้นสามารถถูกดำเนินคดีภายใต้กฎหมายพระราชบัญญัติการสื่อสารและมัลติมีเดียปี 1998 หมวด 233”
มาเลเซียนั้นตั้งแต่แรกแล้วประกาศสนับสนุนปาเลสไตน์ถึงแม้ว่าอิสราเอลจะโดนกลุ่มฮามาสโจมตีอย่างรุนแรงและไม่ทันตั้งตัวเมื่อวันที่ 7 ต.ค.อ้างอิงจากสื่อไทม์สออฟอิสราเอลเมื่อวันที่ 12 ต.ค. สำนักงานนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ตัดสินใจเผยแพร่ภาพความโหดร้ายให้โลกได้เห็นถึงฝีมือของฮามาส
เป็นภาพศพเด็กทารกที่สวมแพมเพิร์สและเด็กเล็กเสียชีวิตจำนวนหนึ่ง
ความโหดร้ายอย่างจงใจไปยังเด็กๆ นี้ยังเปิดเผยโดยสื่อ NBC News ของสหรัฐฯ รายงานพิเศษเมื่อวันที่ 14 ต.ค. ว่า มีการพบเอกสารลับของฝ่ายปฏิบัติการฮามาสที่แสดงให้เห็นว่า จงใจมีเป้าหมายโจมตีไปที่โรงเรียนประถมและศูนย์เยาวชนอิสราเอล
สื่อสหรัฐฯ รายงานว่าแผนที่และเอกสารต่างๆ นี้ถูกพบจากศพของสมาชิกฮามาสที่เสียชีวิต เป็นการเปิดเผยถึงแผนการโจมตีแบบต่อเนื่องเพื่อมีเป้าหมายไปที่ คิบบุตซ์ คฟาร์ อาซา (Kibbutz Kfar Aza) หมู่บ้านอิสราเอลใกล้เขตฉนวนการซา เพื่อสังหารคนจำนวนให้ได้มากที่สุด จับตัวประกันและนำคนเหล่านี้เข้าไปในเขตฉนวนกาซาโดยเร็วที่สุด
แผนการโจมตีที่มีคำ “ความลับสุดยอด” ในภาษาอาระบิกนั้นดูเหมือนเป็นคำสั่งต่อหน่วยฮามาส 2 หน่วยที่ได้รับการฝึกฝนขั้นสูงให้ล้อมและแฝงตัวเข้าหมู่บ้านชาวยิว มีเป้าหมายไปที่จุดที่พลเรือนรวมเด็กๆ
ซึ่งในเวลานี้เจ้าหน้าที่ยังคงประเมินตัวเลขเสียชีวิตใน Kfar Sa'ad.
เจ้าหน้าที่อิสราเอลต่างกล่าวว่า เอกสารของกลุ่มที่ใหญ่กว่านั้นแสดงให้เห็นว่ากลุ่มติดอาวุธฮามาสได้ทำการรวมตัวอย่างเป็นระบบในการรวบรวมข่าวกรองของแต่ละด้านของคิบบุตซ์พรมแดนติดกาซา และวางแผนเฉพาะเพื่อเข้าโจมตีแต่ละหมู่บ้านที่รวมไปถึงความตั้งใจในการทำร้ายผู้หญิงและเด็กๆ
ทั้งนี้ อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ในวันที่ 15 ต.ค. พบว่ามีเหยื่อผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์อิสราเอล-ปาเลสไตน์มาจาก 29 ประเทศทั่วโลก โดยมีสหรัฐฯ เสียชีวิตมากที่สุดที่ 30 คน (อ้างอิงตัวเลขล่าสุดจากเดอะฮิลของสหรัฐฯ) และตามมาไทยที่ 24 คน
แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมด 29 ประเทศนั้น “มาเลเซีย” ไม่มีชื่อรวมอยู่ในนั้น ประเทศในเอเชียที่ได้ผลกระทบมีผู้เสียชีวิตได้แก่ ฟิลิปปินส์ กัมพูชา เนปาล จีน ศรีลังกา เป็นต้น
รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อาห์หมัด ซาฮิด ฮามิดี (Ahmad Zahid Hamidi) ประกาศว่ากัวลาลัมเปอร์ตั้งเป้าหมายที่จะบริจาคครั้งประวัติศาสตร์ 100 ล้านริงกิตมาเลเซียเพื่อช่วยเหลือบรรเทาความทุกข์ยากของชาวปาเลสไตน์ อ้างจากรายงานของมาเลย์เมลวันที่ 14 ต.ค.
“เป้าหมายของพวกเราคือ 100 ล้านริงกิตมาเลเซีย เป็นจำนวนบริจาคใหญ่สุดครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศเพื่อช่วยสนับสนุนประชาชนแห่งปาเลสไตน์”
การออกมาแสดงตัวสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธฮามาสของอันวาร์นั้นยังเป็นที่จับตาของสื่อตะวันตกชื่อดัง
เดอะดิพโพลแมต (The Diplomat) รายงานว่า อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย มูห์ยิดดิน ยัสซิน (Muhyiddin Yassin) และมหาเธร์ โมฮัมหมัด (Mahathir Mohamad) และนักการเมืองมาเลเซียอื่นๆ ร่วมการเดินขบวน 15,000 คนกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์เพื่อสนับสนุนปาเลสไตน์เมื่อสุดสัปดาห์ผ่านมา
ในการประท้วงเดอะดิพโพลแมตชี้ว่า มีการเผาธงชาติอิสราเอลร่วมอยู่ด้วย
มูห์ยิดดินประกาศกับฝูงชนที่เข้าร่วมการประท้วงว่า “เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วที่พวกเขาต้องเจ็บปวด”
และเสริมต่อว่า “การรวมตัวกันในวันนี้ถือเป็นสิ่งพิสูจน์ต่อจุดยืนที่ไม่หวั่นไหวของพวกเราโดยที่ไม่ขึ้นกับการเกี่ยวพันทางการเมืองหรือว่าคุณจะเป็นชาวมุสลิมหรือไม่ พวกเราต้องทำให้จุดยืนของพวกเราเป็นที่รับรู้เพื่อต่อต้านต่อการกระทำอันโหดร้ายของรัฐบาลไซออนนิสต์ที่บังคับใช้ต่อชาวปาเลสไตน์ทั้งหลาย”
เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ รายงานว่า เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติ กีลาด เออร์ดาน (Gilad Erdan) ที่ให้สัมภาษณ์กับ CNN ของสหรัฐฯ ว่า อิสราเอลไม่มีความสนใจในการเข้าครอบครองเขตฉนวนกาซา แต่ย้ำว่าจะทำทุกสิ่งที่จำเป็นเพื่อกำจัดกลุ่มฮามาส
“พวกเราไม่มีความสนใจในการเข้าครอบครองเขตฉนวนกาซาหรืออยู่ในกาซา แต่เป็นเพราะพวกเราจำเป็นต้องต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของตัวเองและมีแค่หนทางเดียวเหมือนเช่นประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้พูดเองว่า เพื่อทำลายฮามาส ดังนั้นพวกเราจำเป็นต้องทำทุกหนทางเพื่อทำลายความสามารถของพวกเขา”
การออกมาแสดงความเห็นของเอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำยูเอ็นเกิดขึ้นหลังประธานาธิบดีไบเดนได้ส่งคำเตือนไปถึงเทลอาวีฟผ่านรายการ 60 นาทีว่า มันจะเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของอิสราเอลหากว่าจะเข้าครอบครองเขตฉนวนกาซา ท่ามกลางความกดดันกองกำลังทหารอิสราเอลที่จ่อรอคำสั่งเพื่อบุกเข้ากาซาทางภาคพื้น