เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ประกาศจะแก้แค้นในวันแห่งความมืดมิด หลังพวกฮามาส กลุ่มนักรบปาเลสไตน์ออกอาละวาดโจมตีเมืองต่างๆ ของอิสราเอลในวันเสาร์ (7 ต.ค.) สังหารชีวิตผู้คนไปมากกว่า 200 ราย และหนีกลับออกไปพร้อมกับตัวประกัน นับเป็นวันนองเลือดที่สุดในอิสราเอล ตั้งแต่สงครามยมคิปปูร์ เมื่อ 50 ปีก่อน
ขณะเดียวกัน มีชาวกาซามากกว่า 230 รายเสียชีวิตเช่นกัน เมื่ออิสราเอลตอบโต้ด้วยการโจมตีแก้แค้น "เราจะแก้แค้นหนักหน่วง สำหรับวันแห่งความมืดมิดนี้" เนทันยาฮูกล่าว "ฮามาสเปิดฉากสงครามอันป่าเถื่อนและชั่วช้า เราจะชนะสงครามนี้ แต่ต้องชดใช้หนักหน่วงเช่นกัน ฮามาสต้องการฆาตกรรมเรา นี่คือศัตรูที่ฆาตกรรมแม่ๆ และลูกๆ ในบ้านของพวกเขา บนเตียงนอนของพวกเขา ศัตรูที่ลักพาตัวผู้ใหญ่ เด็กๆ และเด็กสาววัยรุ่น"
อิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำกลุ่มฮามาส บอกว่าการจู่โจมที่เพิ่มขึ้นในฉนวนกาซานี้ จะแผ่ลามสู่เวสต์แบงก์และเยรูซาเลม "นี่คือเช้าแห่งการเอาชนะและสร้างความอัปยศแก่ศัตรูของเขา ทหารของพวกเขาและผู้ตั้งถิ่นฐานของพวกเขา" ฮานิเยห์กล่าว "สิ่งที่เกิดขึ้นเผยให้เห็นถึงการเตรียมพร้อมที่ยอดเยี่ยมของเรา สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เผยให้เห็นถึงความอ่อนแอของศัตรู"
ศพชาวอิสราเอลกระจัดกระจายอยู่บนถนนสายต่างๆ ของเมือง Sderot ทางใต้ของอิสราเอล ใกล้ฉนวนกาซา ล้อมรอบด้วยเศษกระจก ในนั้นรวมถึงศพของผู้หญิงและผู้ชายคู่หนึ่ง ซึ่งเสียชีวิตอยู่บริเวณที่นั่งด้านหน้าของรถคันหนึ่ง
ในกาซา กลุ่มควันสีดำและเปลวไฟสีส้ม ลอยพวงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าช่วงเย็น จากอาคารสูงแห่งหนึ่งที่ถูกอิสราเอลโจมตีแก้แค้น ฝูงชนที่โศกเศร้าพากันแบกศพหลายศพของนักรบที่เพิ่งถูกปลิดชีพสดๆ ร้อนๆ ไปตามท้องถนนสายต่างๆ ห่ออยู่ในธงฮามาสสีเขียว
ผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บในกาซา ถูกหามไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน ซึ่งขาดแคลนอุปกรณ์และเสบียงทางการแพทย์อย่างรุนแรง โดยทางกระทรวงมหาดไทยปาเลสไตน์บอกว่ามีผู้เสีชีวิต 232 ราย และได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 1,700 คน
ท้องถนนกลายสภาพเป็นเส้นทางร้างแทบไม่มีรถวิ่ง ยกเว้นแต่รถฉุกเฉินที่รุดไปยังจุดที่ถูกโจมตีทางอากาศ ทั้งนี้ ด้วยอิสราเอลเล็งเป้าตัดไฟฟ้า ทำให้เมืองแห่งนี้จมอยู่ในความมืดมิด
บรรดาชาติตะวันตกทั้งหลาย นำโดยสหรัฐฯ ประณามการโจมตีของปาเลสไตน์และประกาศสนับสนุนอิสราเอล โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าว ณ ทำเนียบขาวว่า อิสราเอลมีสิทธิโดยสมบูรณ์ในการปกป้องตนเอง "เราจะไม่มีวันเหนี่ยวรั้งพวกเขา"
ทั่วตะวันออกกลาง มีการเดินขบวนแสดงการสนับสนุนฮามาส ผู้ชุมนุมบางกันจุดไฟเผาธงชาติอิสราเอลและสหรัฐฯ และโบกธงปาเลสไตน์ ในอิรัก เลบานอน ซีเรียและเยเมน ในขณะที่การโจมตีของกลุ่มฮามาส ได้รับการยกย่องอย่างเปิดเผยจากอิหร่านและฮิซบอลเลาะห์ พันธมิตรในเลบานอนของอิหร่าน
จนถึงช่วงค่ำของวันเสาร์ (7 ต.ค.) ในทางภาคใต้ของอิสราเอล พวกชาวบ้านยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากที่กำบัง บริเวณที่พวกเขาหลบซ่อนตัวจากกลุ่มมือปืนมาตั้งแต่ช่วงเช้า
ฮามาส เปิดเผยว่าพวกเขารัวยิงจรวดมากกว่า 150 ลูกเข้าใส่เทลอาวีฟ ในช่วงเย็นวันเสาร์ (7 ต.ค.) ในการแก้แค้นปฏิบัติการโจมตีทางอากาศเที่ยวหนึ่งของอิสราเอล ที่ทำอาคารสูงแห่งหนึ่งที่มีห้องพักมากกว่า 100 ห้อง พังถล่มลงมา
ซาเลฟ์ อัล-อารัวรี รองหัวหน้ากลุ่มฮามาส เปิดเผยกับอัลจาซีราห์ ว่า ทางกลุ่มจับกุมชาวอิสราเอลไว้เป็นจำนวนมาก ในนั้นรวมถึงพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูง เขาบอกว่าฮามาสมีตัวประกันมากพอที่จะกดดันให้อิสราเอลปล่อยชาวปาเลสไตน์ทุกคนที่อยู่ภายในเรือนจำต่างๆ ของอิสราเอล
กองทัพอิสราเอลยืนยันว่ามีชาวอิสราเอลถูกควบคุมตัวในฉนวนกาซา และทางโฆษกของกองทัพระบุอิสราเอลอาจมีการเรียกทหารกองหนุนหลายแสนนายและเตรียมพร้อมสำหรับทำสงครามในแนวหน้าทางเหนือของประเทศ กับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ของเลบานอนด้วย
ฮามาส อ้างว่าการโจมตีของพวกเขามีแรงขับเคลื่อนจากสิ่งที่พวกเขาอ้างว่า เพื่อตอบโต้กรณีที่อิสราเอลยกระดับโจมตีชาวปาเลสไตน์ในเวสต์แบงก์ เยรูซาเลมและเล่นงานชาวปาเลสไตน์ในเรือนจำต่างๆ ของอิสราเอล
"นี่คือวันแห่งการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อยุติการบุกยึดสุดท้ายบนโลกใบนี้" โมฮัมหมัด ดาอีฟ ผู้บัญชาการทหารฮามาสกล่าวระหว่างแถลงเปิดปฏิบัติการ พร้อมเรียกร้องให้ชาวปาเลสไตน์ทุกหนทุกแห่งลุกขึ้นสู้
ฉนวนกาซาถูกทำลายล้างโดยสงครามมาแล้ว 4 รอบ และเหตุสู้รบประปรายอีกนับไม่ถ้วนระหว่างฮามาสกับอิสราเอล นับตั้งแต่พวกนักรบเข้ายึดควบคุมฉนวนแห่งนี้ในปี 2007 แต่ฉากแห่งความรุนแรงภายในอิสราเอลนั้น ไม่ค่อยพบเห็นนัก แม้กระทั่งในช่วงพีกสุดของลุกฮือของชาวปาเลสไตน์ ที่เรียกกันว่าอินทิฟาดา (Intifada) ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา
(ที่มา : รอยเตอร์)