จีนกำลังหาทางแซงหน้าสหรัฐฯ ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจสูงสุดของโลก จากคำกล่าวอ้างของ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกาเมื่อวันพฤหัสบดี(28ก.ย.) ในขณะที่เขาเอ่ยปากส่งเสียงเตือนอีกรอบในประเด็นเกี่ยวกับไต้หวัน
ประธานาธิบดีอเมริกาคนแล้วคนเล่า ต่างเรียก จีน ว่าเป็นความท้าทายระยะยาวสูงสุดที่มีต่อสหรัฐฯ แต่พวกนักวิเคราะห์ชาวอเมริกาบางส่วน มองว่าปักกิ่งมีความทะเยอทะยาน มุ่งเน้นลดอิทธิพลของวอชิงตันในเอเชีย มากกว่าที่จะปรารถนาบทบาทในระดับโลก
อย่างไรก็ตามเมื่อถูกถาม ณ เวทีสัมมนาแห่งหนึ่ง เกี่ยวกับเจตนาของจีน บลิงเคน ตอบว่า "ผมคิดว่าสิ่งที่พวกเขาแสวงหาคือการเป็นมหาอำนาจที่ครอบงำโลก ทั้งในด้านการทหาร เศรษฐกิจและการทูต นี่คือสิ่งที่ สี จิ้น ผิง กำลังแสวงหา" รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ พูดพาดพิงของประธานาธิบดีจีน
"และจะว่าไป มันไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ จีนมีประวัติที่ไม่เหมือนใคร" เขากล่าว ณ กิจกรรมที่จัดโดยนิตยสารแอตแลนติก "ผมคิดว่า ถ้าคุณเคยเพ่งเล็งและรับฟังพวกผู้นำจีนทั้งหลาย พวกเขาต่างกำลังหาทางกอบกู้ ในสิ่งที่พวกเชื่อว่าเป็นสถานะโดยชอบธรรมของพวกเขาในโลกใบนี้"
ก่อนหน้านี้ บลิงเคน เคยพูดอ้อมๆมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง เกี่ยวกับแรงบันดาลใจของจีน ในการเปลี่ยนโฉมระเบียบโลก
ในส่วนของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แม้เคยบอกว่าพวกเขามีมุมมองที่ชัดเจนต่อจีน และกำลังยกระดับกดดันปักกิ่ง แต่ขณะเดียวกันก็ได้เพิ่มความพยายามทางการทูต ในความหวังบริหารจัดการความตึงเครียด ในนั้นรวมถึงกรณีที่ บลิงเคน เดินทางเยือนปักกิ่ง เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งไม่ค่อยพบเห็นบ่อยครั้งนัก
อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ฝ่ายยังคงมีความตึงเครียดระดับสูง โดยเฉพาะในประเด็นไต้หวัน เกาะปกครองตนเองตามระบอบประชาธิปไตย ที่ปักกิ่งกล่าวอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน และได้ทำการซ้อมรบทางทหารรอบๆเกาะแห่งนี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
บลิงเคน ระบุว่าเดิมพันในประเด็นไต้หวันนั้น "สูงเป็นพิเศษ" เพราะว่าบทบาทของเกาะแห่งนี้ในเศรษฐกิจโลก ในนั้นรวมถึงในฐานะศูนย์กลางของเซมิคอนดัคเตอร์ล้ำสมัย
"หากวิกฤตเกี่ยวกับไต้หวันถูกเร่งโดยพฤติกรรมต่างๆของจีน คุณจะต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจโลก" บลิงเคนระบุ "ผมคิดว่า สารที่ส่งถีงจีนก็คือ จีนควรรับเสียงจากประเทศต่างๆทั่วโลก ที่พากันส่งเสียงดังมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า อย่าสร้างปัญหา"
"เราต้องการ ทุกคนก็ต้องการ สันติภาพและเสถียรภาพ และเราทุกคนต้องการรักษาไว้ซึ่งสถานภาพปัจจุบัน" รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯกล่าว
(ที่มา:เอเอฟพี)