ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ รับปากผู้นำยูเครนว่าวอชิงตันจะส่งระบบขีปนาวุธทางยุทธวิธี ( Army Tactical Missile System - ATACMS) ให้แก่เคียฟ ตามรายงานของเอ็นบีซีนิวส์เมื่อวานนี้ (22 ก.ย.)
รัฐบาลยูเครนเรียกร้องมานานให้สหรัฐฯ จัดส่งระบบ ATACMS เพื่อช่วยในการทำลายเส้นทางขนส่งเสบียงอาวุธ ฐานทัพ และระบบรางในดินแดนที่ถูกรัสเซียยึดครองอยู่
ทำเนียบขาวประกาศมอบความช่วยเหลือทางทหารแก่ยูเครนเพิ่มเติมอีก 325 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตอนที่ประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี เดินทางเข้าพบ ไบเดน ที่วอชิงตันเมื่อวันพฤหัสบดี (21) แต่ไม่ได้มีการเปิดเผยชัดเจนว่าสหรัฐฯ จะให้ระบบ ATACMS ด้วยหรือไม่
เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวและกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ยังคงปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับรายงานของเอ็นบีซี ซึ่งอ้างว่าได้ข้อมูลมาจากแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ 3 คน และสมาชิกสภาคองเกรสอีก 1 คน
ด้านเพนตากอนเองก็ไม่ได้แถลงว่ามีการให้สัญญามอบระบบ ATACMS แก่ยูเครนระหว่างที่ เซเลนสกี ไปเยือนกระทรวงกลาโหมหรือไม่ โดยบอกแต่เพียงว่า “ไม่มีอะไรจะแถลงเกี่ยวกับ ATACMS”
ระหว่างให้สัมภาษณ์สื่อที่กรุงออตตาวาของแคนาดา ผู้นำยูเครนก็เลี่ยงที่จะตอบเมื่อถูกถามเรื่องรายงานของเอ็นบีซี โดยกล่าวแค่ว่าสหรัฐฯ เป็นชาติผู้สนับสนุนอาวุธรายใหญ่ที่สุดของยูเครน
“เรามีการหารือเกี่ยวกับระบบอาวุธที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงอาวุธและกระสุนพิสัยไกล กระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม. และระบบป้องกันภัยทางอากาศ” เซเลนสกี ให้สัมภาษณ์ผ่านล่าม
ก่อนหน้านี้ รอยเตอร์รายงานว่ารัฐบาล ไบเดน อยู่ระหว่างตัดสินใจว่าจะส่งมอบระบบ ATACMS ซึ่งมีพิสัยทำการสูงสุด 306 กิโลเมตรให้แก่ยูเครนหรือไม่
ข้อมูลจากเว็บไซต์ของกองทัพสหรัฐฯ ระบุว่า ATACMS ถูกออกแบบมา “เพื่อจู่โจมแนวเขตการรบที่สอง (second-echelon forces) ของฝ่ายศัตรู” และสามารถใช้ทำลายศูนย์บัญชาการ ระบบป้องกันภัยทางอากาศ รวมถึงศูนย์กลางโลจิสติกซึ่งอยู่ห่างจากพื้นที่แนวหน้าเข้าไปมากๆ ได้
ไบเดน ให้คำมั่นต่อ เซเลนสกี เมื่อวันพฤหัสบดี (21) ว่า สหรัฐฯ จะยังคงให้การสนับสนุนเคียฟอย่างเข้มแข็งเพื่อขับไล่รัสเซียออกไปจากดินแดนยูเครน แม้จะมีเสียงคัดค้านจาก ส.ส.รีพับลิกันบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเอาเงินภาษีประชาชนนับพันๆ ล้านดอลลาร์ไปทุ่มให้แก่ยูเครนก็ตาม
ด้านผู้นำยูเครนก็ได้กล่าวขอบคุณ ไบเดน เกี่ยวกับแพจเกจอาวุธล่าสุด ซึ่งรวมถึงระบบป้องกันภัยทางอากาศด้วย โดยเขาระบุว่า “มันมีสิ่งที่ทหารของเราจำเป็นต้องใช้ในตอนนี้”
ที่มา : รอยเตอร์