โปแลนด์ สโลวะเกีย และฮังการี ประกาศมาตรการจำกัดการนำเข้าธัญพืชจากยูเครนเมื่อวานนี้ (15 ก.ย.) หลังคณะกรรมาธิการยุโรปไม่ขยายคำสั่งห้ามนำเข้าธัญพืชยูเครนสู่ 5 ชาติในยุโรปตะวันออกที่มีพรมแดนติดกับยูเครน
ยูเครนเคยเป็นหนึ่งในชาติผู้ส่งออกธัญพืชรายใหญ่ที่สุดของโลกก่อนจะถูกรัสเซียเปิดฉากรุกรานเมื่อเดือน ก.พ. ปี 2022 ซึ่งทำให้ศักยภาพในการส่งออกผลผลิตธัญพืชสู่ตลาดโลกลดลงไปมาก
เกษตรกรชาวยูเครนต้องพึ่งพาการส่งออกผ่านทางประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากท่าเรือในทะเลดำซึ่งเคยเป็นเส้นทางส่งออกหลักถูกกองทัพรัสเซียปิดล้อมมานานกว่า 18 เดือน
อย่างไรก็ตาม การไหลเข้าของธัญพืชและน้ำมันเมล็ดพืชจากยูเครนซึ่งมีราคาถูกกว่าก็ส่งผลให้ราคาในท้องตลาดตกต่ำลง และกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรในท้องถิ่น ด้วยเหตุนี้รัฐบาลยุโรปตะวันออกหลายประเทศจึงได้กำหนดมาตรการแบนธัญพืชและผลผลิตทางการเกษตรที่นำเข้าจากยูเครนเพื่อปกป้องเกษตรกรของตัวเอง
เมื่อเดือน พ.ค. สหภาพยุโรป (อียู) ตัดสินใจเข้าแทรกแซงด้วยการห้ามไม่ให้รัฐสมาชิกแต่ละประเทศสั่งแบนธัญพืชยูเครนฝ่ายเดียว โดยอียูอนุญาตให้ 5 สมาชิกในยุโรปตะวันออก ซึ่งได้แก่ บัลแกเรีย ฮังการี โปแลนด์ โรมาเนีย และสโลวะเกีย สามารถห้ามการจำหน่ายข้าวสาลี ข้าวโพด และเมล็ดทานตะวันที่นำเข้าจากยูเครนได้ ทว่ายังคงอนุญาตให้ธัญพืชจากยูเครนถูกขนส่งผ่านดินแดนของทั้ง 5 ชาติเพื่อส่งต่อไปจำหน่ายประเทศอื่นๆ
แม้บางประเทศในกลุ่มนี้ เช่น โปแลนด์ จะเป็นชาติที่ให้การสนับสนุนยูเครนอย่างเข้มแข็งในสงครามต่อต้านรัสเซีย แต่พวกเขามองว่าการปล่อยให้ธัญพืชราคาถูกจากยูเครนไหลเข้าสู่ตลาดในประเทศจะส่งผลเสียร้ายแรงต่อภาคการเกษตรของตน
ล่าสุด อียูตัดสินใจไม่ขยายคำสั่งแบนซึ่งหมดอายุลงไปเมื่อวานนี้ (15) หลังจากที่ยูเครนรับปากว่าจะยกระดับคุมเข้มการส่งออกธัญพืชไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และเรื่องนี้ก็ถือเป็นประเด็นละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง เพราะตรงกับช่วงเวลาที่เกษตรกรกำลังเก็บเกี่ยวผลผลิตและเตรียมส่งขาย
วัลดิส ดอมบรอฟสคิส กรรมาธิการการค้าของอียู ออกมาเรียกร้องวานนี้ (15) ให้ประเทศต่างๆ งดใช้มาตรการฝ่ายเดียวเพื่อสกัดกั้นธัญพืชนำเข้าจากยูเครน ทว่าโปแลนด์ สโลวะเกีย และฮังการี ตอบโต้ท่าทีของอียูด้วยการประกาศห้ามนำธัญพืชยูเครนเข้าสู่ตลาดในประเทศในทันที แต่จะยังอนุญาตให้มีการ “ส่งผ่าน” ผลผลิตยูเครนต่อไปยังสถานที่อื่นได้
เทอร์รี รีลลี นักยุทธศาสตร์ด้านการเกษตรอาวุโสจาก Marex ระบุว่า “ตราบใดที่ยูเครนสามารถรับรองได้ว่า ธัญพืชทั้งหมดถูกส่งต่อไปถึงประเทศปลายทาง ไม่ว่าจะโดยรถบรรทุกหรือรถไฟก็ตาม คำสั่งห้ามนำเข้าสู่ตลาดในประเทศของเพื่อนบ้านก็คงไม่มีผลกระทบมากนักต่อศักยภาพในการส่งออกของพวกเขา”
รีลลี ย้ำว่า การปิดกั้นท่าเรือส่งออกสินค้าในทะเลดำเป็นสถานการณ์ที่น่ากังวลมากกว่า
ปัญหาธัญพืชยูเครนสะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกภายในอียูเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามที่มีต่อเศรษฐกิจของรัฐสมาชิกแต่ละชาติ ซึ่งต่างก็มีองค์กรล็อบบี้ยิสต์ด้านการเกษตรที่มีอำนาจต่อรองสูง
ประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ออกมาชื่นชมการตัดสินใจของอียูที่ไม่ต่ออายุคำสั่งแบน แต่ก็ย้ำว่าเคียฟจะใช้แนวทางตอบโต้ “แบบศิวิไลซ์” หากมีรัฐสมาชิกอียูใดๆ ที่ฝ่าฝืนกฎ
ที่มา : รอยเตอร์