เอเอฟพี/รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - สหภาพยุโรปออกแถลงการณ์วันจันทร์ (27 ส.ค.) ยืนยันให้การสนับสนุนฝรั่งเศสอย่างเต็มที่หลังประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานุเอล มาครง ใช้ไม้แข็งกร้าว ทูตฝรั่งเศสไม่ต้องออกจากไนเจอร์หลังโดนสั่งขับภายใน 24 ชม.เมื่อวันศุกร์ (25 ส.ค.) ชี้ไม่มีอำนาจ สถานทูตแดนน้ำหอมตึงเครียดกลางกรุงนีอาเมโดนตัดน้ำตัดไฟ ผู้ประท้วงข่มขู่บุกสถานทูต ที่ตั้งกองกำลังทหารฝรั่งเศส เยอรมนีแสดงความวิตกเฝ้าจับตาสถานการณ์
เอเอฟพีรายงานวันนี้ (29 ส.ค.).ว่า สหภาพยุโรป EU ในวันจันทร์ (28) แสดงความวิตกต่อสถานการณ์ที่ไนเจอร์ หลังล่าสุดกลุ่มรัฐประหารไนเจอร์ออกคำสั่งขับเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสออกนอกประเทศภายใน 48 ชั่วโมงเป็นคำสั่งออกมาในวันศุกร์ (25)
ทั้งนี้ กลุ่มรัฐประหารไนเจอร์อ้างว่า เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสปฏิเสธที่จะเดินทางเข้าพบกับรัฐบาลไนเจอร์ชุดใหม่ พร้อมกับกล่าวว่าความเคลื่อนไหวของฝรั่งเศสนั้นสวนทางกับผลประโยชน์ของไนเจอร์
ซึ่งก่อนหน้ามีรายงานว่า ไนเจอร์ประกาศการสั่งขับเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส สหรัฐฯ และเยอรมนีออกนอกประเทศ แต่ทว่าเอเอฟพีได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ไนเจอร์ว่า ไม่เป็นความจริงที่ว่าคำสั่งขับนี้ครอบคลุมถึงสหรัฐฯและเยอรมนี
EU แถลงการณ์ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อการตัดสินใจประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานุเอล มาครง ที่ยืนยันว่าทูตฝรั่งเศสจะยังคงประจำอยู่ในไนเจอร์ต่อไป โดยอ้างว่ากลุ่มรัฐประหารไนเจอร์ไม่มีอำนาจสั่งขับ
“การตัดสินใจจากกลุ่มรัฐประหารไนเจอร์ในการขับเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสนั้นถือเป็นการยั่วยุครั้งใหม่ที่จะไม่ช่วยสนับสนุนต่อในการหาทางออกทางการทูตต่อสถานการณ์ปัจจุบัน” รายงานจากแถลงการณ์ของสหภาพยุโรปในวันจันทร์ (28)
นาบิลา มาสราลี (Nabila Massrali) โฆษกสหภาพยุโรปด้านกิจการต่างประเทศยืนยันเสริมว่า EU ไม่ยอมรับต่อคณะรัฐประหารที่ยึดอำนาจในไนเจอร์เมื่อวันที่ 26 ก.ค.
เอเอฟพีรายงานว่า ผู้นำฝรั่งเศสแถลงว่า รัฐบาลชุดใหม่ของคณะรัฐประหารไนเจอร์นั้นเป็นผลร้ายต่อประชาชนไนเจอร์ เป็นเพราะกลุ่มรัฐประหารทำให้คนเหล่านั้นตกอยู่ในอันตรายด้วยการยกเลิกการต่อต้านก่อการร้าย เพราะพวกเขาทอดทิ้งนโยบายทางเศรษฐกิจที่ดี และคนเหล่านี้กำลังอยู่ในกระบวนการสูญเสียความช่วยเหลือการเงินระหว่างประเทศที่ช่วยเหลือให้ไนเจอร์ออกมาจากความยากจน
มาครงยืนกรานว่า "ฝรั่งเศส" ต้องการแนวทางในแอฟริกา “ที่ไม่ใช่แบบพ่อปกครองลูกหรือความอ่อนแอ”
ทั้งนี้ ในวันจันทร์ (28) มาครงได้ออกมายืนยันว่า ปารีสให้การรับรองและสนับสนุนประธานาธิบดีไนเจอร์ โมฮาหมัด บาซูม และเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสจะไม่เดินทางออกนอกประเทศตามคำสั่งคณะรัฐประหารไนเจอร์
ขณะเดียวกัน เอเอฟพีกล่าวว่า เยอรมนีได้ออกมาแสดงความวิตกต่อสถานการณ์ในไนเจอร์ในวันจันทร์ (28)
“พวกเราตระหนักว่ากองทัพกำลังทำให้คุกรุ่นต่อต้านฝรั่งเศสและพวกเรากำลังจับตาอย่างใกล้ชิดต่อสิ่งนี้” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส คริสเตียน วากเนอร์ แถลง
รอยเตอร์รายงานว่า ผู้นำฝรั่งเศสได้ออกมาปัดเสียงเรียกร้องบางส่วนที่ดังออกมาจากทั้งสหรัฐฯ และยุโรปที่ต้องการให้ปารีสเลิกหนุนหลังบาซูมเพื่อให้เรื่องจบ
ฟรานซ์24 รายงานว่า ในการประชุมเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสทั่วโลกที่กรุงปารีสวันจันทร์ (28) ประธานาธิบดีมาครง เรียกร้องให้เพิ่มความพยายามให้มากขึ้นต่อความพยายามทางการทูตของฝรั่งเศส
เขาย้ำว่า ความพยายามทางการทูตแดนน้ำหอมควรให้สำคัญกับนโยบายความมั่นคงเป็นหลักเนื่องมาจากสงครามยูเครน มาครงชี้ว่าจำเป็นต้องทำให้การทูตฝรั่งเศสเข้มแข็งมากขึ้น โดยชี้ว่าระเบียบโลกกำลังเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ยากลำบากมากขึ้นและมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น
สิ่งนี้ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโลกตะวันตกโดยเฉพาะต่อยุโรป
“สงครามหวนกลับมาบนแผ่นดินยุโรปอีกครั้ง การต่อต้านฝรั่งเศสมีมากขึ้นที่ถูกกระพือจากการต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคม หรือการตระหนักต่อการต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมที่มีการใช้แบบ 2 มาตรฐาน” เขากล่าว
สื่อ AA ของตุรกีรายงานวันจันทร์ (28) ว่า สถานทูตฝรั่งเศสในกรุงนีอาเมถูกเจ้าหน้าที่ไนเจอร์ตัดน้ำตัดไฟ ซึ่งสถานกงสุลฝรั่งเศสในเมืองซินเดอร์ (Zinder) พบกับสถานการณ์ที่คล้ายกันนี้ เกิดขึ้นหลังก่อนหน้าในวันเสาร์ (26) มีการรวมตัวของกลุ่มผู้สนับสนุนคณะรัฐประหารใกล้กับฐานที่ตั้งกองกำลังฝรั่งเศสภายในเมืองหลวง ต่อต้านการยังคงกองกำลังฝรั่งเศสภายในประเทศ
กลุ่มผู้ประท้วงหลายร้อยคนประกาศสโลแกนพร้อมตะโกนข่มขู่จะบุกเข้าสถานทูตฝรั่งเศสและที่ทำการกองกำลังทหารแดนน้ำหอมในกรุงนีอาเมหากไม่ยอมออกไปพ้นดินแดน
ทั้งนี้ ฝรั่งเศสมีกองกำลังประจำอยู่ในไนเจอร์จำนวน 1,500 นาย ขณะที่กองกำลังสหรัฐฯ ประจำในไนเจอร์มีราว 1,100 นาย ซึ่งเป็นฐานที่ตั้งของโดรนสังหารของสหรัฐฯ