รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - ไนเจอร์วานนี้ (24 ส.ค.) กล่าวผ่านแถลงการณ์ไฟเขียวให้ทั้งมาลีและบูร์กินาฟาโซส่งกำลังทหารเข้าดินแดนได้หาก ECOWAS ส่งกำลังโจมตีหลังวันศุกร์ (18 ส.ค.) กำหนดวันเปิดฉากรบช่วยประธานาธิบดี โมฮาเหม็ด บาซูม แล้ว ส่วน 2 ชาติพันธมิตรตะวันตกฝรั่งเศส-สหรัฐฯ เกิดเกาเหลา ปารีสหัวเสียวอชิงตันเดินเกมการทูตส่งตัวแทนคุยกลุ่มรัฐประหาร แต่เจ้าตัวปฏิเสธเสียงแข็งไม่เคยขอแอลจีเรียใช้น่านฟ้าเพื่อเปิดปฏิบัติการทหารเข้ากรุงนีอาเม
รอยเตอร์รายงานวานนี้ (24 ส.ค.) ว่า ในการแถลงร่วมวันพฤหัสบดี (24) ที่กรุงนีอาเม รัฐมนตรีต่างประเทศไนเจอร์ยืนยันพร้อมกับ 2 ชาติพันธมิตรได้แก่ มาลี และบูร์กินาฟาโซที่เข้าร่วมในการหารือว่า ไนเจอร์อนุมัติให้ทั้ง 2 ชาติพันธมิตรสามารถส่งกำลังทหารของตัวเองเข้ามาภายในดินแดนได้หากไนเจอร์ถูกโจมตีในความขัดแย้งทางการทหารกับกลุ่ม ECOWAS
แถลงการณ์ชี้ว่า รัฐมนตรีชาติทั้งสองมีความยินดีต่อการลงนามในวันพฤหัสบดี (24) โดยหัวหน้าคณะรัฐประหารไนเจอร์ พล.อ.อับดุลราห์มาน ทะเชียนิ (Abdourahamane Tiani) ในการอนุมัติให้กำลังทหารมาลีและบูร์กินาฟาโซเดินทางเข้าดินแดนมาได้หากเกิดการโจมตีขึ้น
เกิดขึ้นหลังจากในวันศุกร์ (18) ก่อนหน้า ECOWAS ประกาศได้เลือกวัน D-DAY สำหรับการส่งกำลังเข้าแทรกแซงที่ไนเจอร์แล้ว
CNN สื่อสหรัฐฯ รายงานว่า อับเดล-ฟาเตา มูซาห์ (Abdel-Fatau Musah) หัวหน้าด้านกิจการการเมือง สันติภาพ และความมั่นคงของกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจแห่งชาติแอฟริกาตะวันตก ECOWAS ยืนยันว่า กองกำลังชาติสมาชิกพร้อมตลอดเวลาสำหรับคำสั่งที่ออกมาต่อปฏิบัติการแทรกแซงทางการทหารที่ไนเจอร์
"วันลงมือ D-DAY ได้มีการกำหนดแล้วแต่พวกเราจะไม่ขอเปิดเผยออกมา" เขากล่าวให้สัมภาษณ์ในกรุงอักกรา ของกานา
เขาเปิดเผยว่า ทาง ECOWAS มองว่ารัฐประหารในไนเจอร์นั้นเป็นหนึ่งในหลายรัฐประหารในทวีปแอฟริกาที่มีมากจนเกินไป และทางกลุ่มจำเป็นต้องหยุดการรัฐประหารนี้ไว้ให้ได้ในครั้งนี้
เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษ รายงานเมื่อวันพุธ (23) ว่า มีผู้สังเกตการณ์บางส่วนได้เชื่อมโยงการเกิดรัฐประหารในไนเจอร์เข้ากับการที่ประธานาธิบดี โมฮาเหม็ด บาซูม ที่ถูกโค่นอำนาจนั้นสนับสนุนนโยบายสหภาพยุโรปในเรื่องปัญหาวิกฤตผู้อพยพหนีเข้ายุโรป
ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า กองทัพรับสินบนจากการลักลอบค้ามนุษย์มาจนถึงปี 2015 โดยนับตั้งแต่ปี 2020 ไนเจอร์กลายเป็นประเทศที่ 4 ในแอฟริกาตะวันตกที่เกิดรัฐประหาร
ปัญหาไนเจอร์เกิดท่ามกลางความระหองระแหงระหว่างฝรั่งเศสและสหรัฐฯ ที่ต่างมีกองกำลังทหารอยู่ในดินแดนไนเจอร์สำหรับปฏิบัติการต่อต้านก่อการร้าย
โพลิติโกรายงานวันศุกร์ (18) ว่า การเกิดรัฐประหารไนเจอร์ได้เพิ่มความตึงเครียดระหว่างปารีสและวอชิงตัน ซึ่งฝรั่งเศสปฏิเสธแนวทางการเจรจาทางการทูต แต่สนับสนุนให้กลุ่มระดับภุมิภาคใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซง
ฝ่ายสหรัฐฯ มองว่า สำหรับปารีสแล้วเดิมพันต่อไนเจอร์นี้สูงกว่ามากเมื่อเทียบกับของฝ่ายอเมริกา
โพลิติโกชี้ว่านอกเหนือจากวอชิงตันจะส่งเจ้าหน้าที่การทูตเข้านีอาเม และยังคงกำหนดท่าทีต่างจากฝรั่งเศสด้วยการยังไม่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการต่อเหตุที่เกิดขึ้นว่า 'เป็นการทำรัฐประหาร' โดยฝ่ายสหรัฐฯ ยังคงมองว่ายังคงอยู่ระหว่างการเจรจาที่จะสามารถนำประชาธิปไตยกลับคืนมาสู่นีอาเมได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสที่เกี่ยวข้องโต้ว่า ปารีสต้องการทางออกทางสันติภาพเช่นกัน แต่ฝ่ายวอชิงตัน ดูเหมือนรีบร้อนเกินไป สมควรที่จะวางเงื่อนไขหรือหลักประกันก่อนเปิดช่องทางการเจรจา โดยชี้ไปว่าเป็นการเจรจาระหว่างที่ผู้ทำรัฐประหารยังกุมอำนาจ
ซึ่งมีอดีตเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ บางส่วนมองว่าการที่ฝรั่งเศสไม่เห็นด้วยกับวิธีการของสหรัฐฯ เนื่องมาจากปารีสร้อนรนที่ตัวเองอาจกำลังเสียพื้นที่เชิงยุทธศาสตร์สุดท้ายในแอฟริกาตะวันตกไปหลังจากชาติอื่นๆ ในภูมิภาคที่เกิดรัฐประหารได้ฉีกข้อตกลงห้ามนำกองกำลังแดนน้ำหอมประจำในดินแดน
คาเมรอน ฮัดสัน (Cameron Hudson) อดีตเจ้าหน้าที่สภาความมั่นแห่งชาติสหรัฐฯ ประจำทำเนียบขาวด้านแอฟริกาแสดงความเห็นว่า “เดิมพันของฝรั่งเศสในไนเจอร์มีสูงกว่ามากเมื่อเทียบกับวอชิงตัน..มันถือเป็นชัยชนะทางยุทธศาสตร์และทางจิตวิทยาสำหรับฝรั่งเศส”
โพลิติโกชี้ว่า ที่ผ่านมาในแอฟริกาตะวันตก ฝรั่งเศสมักชินกับการที่ชาติมหาอำนาจอื่นปล่อยให้ปารีสนำหรืออย่างน้อยทำตามคำแนะนำ แต่ทว่ามันไม่เกิดขึ้นในกรณีนี้
รอยเตอร์รายงานต่อว่า ขณะเดียวกันในวันอังคาร (22) ฝรั่งเศสยังต้องออกมาปัดรายงานที่สถานีวิทยุทางการแอลจีเรียรายงานไปทั่วในวันจันทร์ (21) ว่า ทางการแอลจีเรียได้ปฏิเสธคำขอจากฝรั่งเศสในการใช้น่านฟ้าของประเทศเพื่อปฏิบัติการทหารในไนเจอร์
โดยอาหรับนิวส์รายงานว่า สถานีวิทยุแถลงว่า รัฐบาลแอลจีเรียขอต่อต้านปฏิบัติการทางการทหารต่างชาติใดๆ ในไนเจอร์ และสนับสนุนช่องทางการทูตแทนเพื่อนำระบอบประชาธิปไตยกลับคืนสู่นีอาเม
รอยเตอร์รายงานว่า แหล่งข่าวภายในกองทัพฝรั่งเศสเปิดเผยว่า กองทัพฝรั่งเศสปฏิเสธไม่เคยยื่นขออนุญาตบินเหนือดินแดนแอลจีเรีย
ทั้งนี้ ฝรั่งเศสยังคงกองกำลังในไนเจอร์จำนวน 1,500 นายก่อนเกิดรัฐประหาร ซึ่งมาจนถึงปัจจุบันปารีสยังไม่เคยประกาศจะใช้กำลังทหารเพื่อเข้าแทรกแซงการยึดอำนาจที่เกิดขึ้นเดือนที่ผ่านมาในไนเจอร์แต่อย่างใด