เอเจนซีส์ - ส่งออกจีนไปทั่วโลกระส่ำหนักในเดือนกรกฎาคมล่าสุด เพิ่มความท้าท้ายให้ปักกิ่งที่ครองแชมป์ระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก วอลล์สตรีทเจอร์นัลชี้ว่า กลายเป็นหลักฐานชั้นดีชี้ถึงความต้องการจากตะวันตกที่หดหายไปได้ทำร้ายความพยายามของจีนที่จะฟื้นตัวหลังปิดประเทศจากวิกฤตโควิด-19
วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานวานนี้ (8 ส.ค.) ว่า หลังจากการเด้งกลับขึ้นมาในช่วงสั้นในฤดูใบไม้ผลิ แต่ทว่าสินค้าส่งออกของจีนกลับมารูดต่ำลงอีกครั้งที่ย้อนหลังไปไกลถึงตุลาคมปีที่แล้วเกิดขึ้นเมื่อลูกค้าชาติตะวันตกที่พัฒนาแล้วทั้งหลายหันเหการใช้จ่ายจากการหาซื้อจากเฟอร์นิเจอร์และแกดเจ็ตอิเล็กทรอนิกส์ มาเป็นการใช้เงินในด้านบริการ เป็นต้นว่า ด้านบันเทิงและการออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านแทน
นอกจากนี้ ความตึงเครียดทางภูมิศาสตร์การเมืองระหว่างตะวันตกที่นำโดยสหรัฐฯ และจีน ส่งผลทำให้บรรดาผู้ผลิตชาติตะวันตกลดการพึ่งพาซัปพลายเชนของจีนลงที่ส่งผลทำให้เกิดการลดการค้าระหว่างกันลง
ข้อมูลล่าสุดที่เปิดเผยออกมาได้ส่งสัญญาณให้เห็นถึงความเลวร้ายเพิ่มมากขึ้นต่อเศรษฐกิจจีน ซึ่งตลาดที่อยู่อาศัยซึ่งสำคัญของประเทศส่งสัญญาณความตึงเครียดออกมาให้เห็นในสัปดาห์นี้ และการว่างงานในกลุ่มคนรุ่นใหม่ยังสร้างสถิติใหม่
สื่อฟอร์จูนรายงานชี้ว่า สถิติการว่างงานคนรุ่นใหม่จีนอยู่ที่ 21% แท้จริงแล้วอาจสูงถึง 46.5%
ตัวเลขทางการจีนนั้นไม่ได้ทำให้ดูดีเกินจริงแต่ทว่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงนั้นสาหัสกว่า อ้างอิงจากนักเศรษฐศาสตร์ประจำมหาวิทยาลัยปักกิ่ง Zhang Dandan โดยแสดงเหตุผลว่า เป็นเพราะเจ้าหน้าที่จีนจะคำนวณอัตราการว่างงานจากกลุ่มคนที่กำลังมองหางานเท่านั้น ต่างจากสหรัฐฯ ที่จะคำนวณรวมไปถึงทุกคนที่เข้าข่าย
ศาสตราจารย์ชื่อดังชี้ว่า เขาเชื่อว่าตัวเลขอัตราว่างงานกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่แท้จริงอาจสูงถึง 46.5%.
อ้างอิงจากนิตยสารการเงินไคซิน (Caixin) ของจีน ระบุว่ามีกลุ่มคนจีนรุ่นใหม่ร่วม 16 ล้านคนถอนตัวออกมาจากตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “lying flat” ที่หมายความว่าผู้คนรู้สึกขาดความกระตือรือร้นอย่างรุนแรง ไม่ขวนขวาย ไม่ทะเยอทะยานในการจะประสบความสำเร็จ โดยปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในกลุ่มชนชั้นกลาง พนักงานออฟฟิศหนุ่มสาวที่ปราศจากแรงขับดันในการทำงาน และแพร่ระบาดเป็นวงกว้างจนถึงขั้นประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิงออกปากตำหนิมาแล้ว
วอลล์สตรีทเจอร์นัลรายงานต่อว่า นอกจากนี้ข้อมูลล่าสุดยังแสดงว่า จีนกำลังเข้าใกล้ที่จะเกิดภาวะเงินฝืด (deflation)
ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายต่างคาดการณ์ไปถึงการโตของลมแรงปะทะ headwind ทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป ที่เป็นส่วนหนึ่งของผลจากแรงกดดันภาวะเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง ที่จะยังคงทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคและการกู้ยืมทางธุรกิจลดลงตลอดทั้งปีเนื่องมาจากภัยคุกคามของเศรษฐกิจถดถอยยังคงอยู่
การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนาได้ระบุไว้ในรายงานเดือนกรกฎาคมมีใจความว่า “โดยรวมแล้วมุมมองของการค้าโลกในครึ่งหลังของปี 2023 นั้นดูเป็นแง่ลบ”
พร้อมกันนี้ ได้ประเมินว่า การค้าทั่วโลกจะหดตัวราว 0.4% ในไตรมาสที่ 2 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ซึ่งข้อมูลที่เปิดเผยออกมาจากสำนักงานศุลกากรจีน GACC ในวันอังคาร (8) พบว่าการส่งออกจากจีนตกไป 14.5% ในเดือนกรกฎาคมเมื่อเทียบจากปีก่อนหน้า ถือเป็นการตกลงมากที่สุดเมื่อเทียบปีต่อปีลดลงนับตั้งแต่กุมภาพันธ์ปี 2020 ที่เป็นช่วงต้นของวิกฤตโควิด-19