เอพี/เอเจนซีส์ - พยานในเหตุการณ์นักท่องเที่ยวร่วมคณะกับทราวิส คิง เปิดเผยอย่างตกใจ คิดว่าเป็นการถ่ายลง TikToK หลังพบคิงที่อยู่ในชุดดำหัวเราะเสียงดังระหว่างวิ่งเข้าไปในเกาหลีเหนือและไม่กลับออกมา พบใช้แท็กติกอ้าง "พาสปอร์ตหาย" ก่อนทำกระบวนการย้อนกลับด่านตรวจหลุดออกมาจากสนามบินอินชอนโดยที่หน่วยเหนือไม่ทราบเรื่อง ด้านวอชิงตันแถลง เปียงยางไม่ตอบสนองการติดต่อเพื่อเจรจานำทหารสหรัฐฯ กลับบ้าน ชะตากรรมยังไม่รู้ พบคิงเคยก่อเรื่องชกต่อยกับชาวเกาหลีใต้ในไนต์คลับ พร้อมโดนปรับอ่วม 4,000 ดอลลาร์หลังถีบประตูรถตำรวจเกาหลีใต้หลายรอบก่อนโดนขังแทนค่าปรับ
เอพีรายงานวานนี้ (19 ก.ค.) ว่า ซาราห์ เลสลี (Sarah Leslie) นักท่องเที่ยวนิวซีแลนด์ที่เห็นเหตุการณ์ทหารอเมริกันผิวสีจากรัฐวิสคอนซิน ทราวิส คิง (Travis King) ซึ่งร่วมอยู่ในคณะทัวร์หมู่บ้านปันมุนจอม (Panmunjom) เปิดเผยว่า คิงหนุ่มผิวสีวัย 23 ปี นั้นร่วมกลุ่มในนักท่องเที่ยวจำนวนทั้งหมด 43 คน เขาไม่ได้อยู่ในชุดเครื่องแบบทหารสหรัฐฯ แต่สวมกางเกงยีนส์และเสื้อยืดสีดำ พบได้ซื้อหมวกสีดำซึ่งเป็นของที่ระลึกขายที่หมู่บ้านเส้นแบ่ง 2 ชาติเกาหลี
เลสลีกล่าวให้สัมภาษณ์กับเอพีว่า ไม่ได้รู้เลยว่าคิงนั้นเป็นทหารสหรัฐฯ หรือกำลังมีปัญหาทางคดีความ
ซึ่งข้อกำหนดการเข้าร่วมทัวร์ดังกล่าวจำเป็นต้องมีการยื่นพาสปอร์ตและการขออนุญาตล่วงหน้าเข้ามาเดินทางในดินแดนความมั่นคงร่วม 2 ชาติเกาหลี ซึ่งก่อนหน้าเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เคยเปิดเผยว่า ไม่ทราบว่าคิงที่อยู่ระหว่างการส่งตัวกลับนี้ไปซื้อบัตรเข้าชมท่องเที่ยวมาตั้งแต่เมื่อใด
ซึ่งกลุ่มทัวร์เดินทางด้วยรถบัสออกจากกรุงโซลตั้งแต่ตอนเช้า นักท่องเที่ยวนิวซีแลนด์เปิดเผยว่า เธอสังเกตว่า คิงเดินทางมาตามลำพังและเก็บตัวไม่สนทนากับผู้ใด และในจุดหนึ่งเธอเห็นเขาซื้อหมวกที่ร้านขายของที่ระลึกในหมู่บ้านปันมุนจอม
ซึ่งทัวร์ใกล้สิ้นสุดเมื่อบ่ายวันอังคาร (18) ทางกลุ่มเดินออกมาจากอาคารและกำลังถ่ายรูปหมู่ และเลสลีได้เห็นภาพ “คิงกำลังวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว”
“ดิฉันสันนิษฐานในตอนแรกว่า เขากำลังเล่นแผลงแบบลง TikTok ที่โง่เง่ามากที่สุดที่คุณจะทำได้” และกล่าวต่อว่า แต่หลังจากนั้นดิฉันได้ยินทหารตะโกนออกมาว่า “จับชายคนนั้นไว้”
เดอะการ์เดียน รายงานเพิ่มเติมว่า หนึ่งในสมาชิกทัวร์เปิดเผยกับเอบีซีนิวส์ของสหรัฐฯ ว่า พบว่าคิงนั้นหัวเราะเสียงดังก่อนวิ่งเข้าไปในเกาหลีเหนือ
เลสลีเปิดเผยต่อว่า คำสั่งให้จับชายผู้นั้นเป็นการตะโกนออกมาจากทหารอเมริกันนายหนึ่งซึ่งกำลังเดินลาดตระเวนพร้อมกับกองกำลังทหารเกาหลีใต้อยู่ในเวลานั้น
แต่ทว่าทหารลาดตระเวนไม่มีเวลาตอบสนอง นักท่องเที่ยวกล่าวว่า หลังจากที่เห็นเขาวิ่งไปราว 10 เมตรไปตามทางระหว่างอาคารสีฟ้าด้านใน และคิงข้ามเส้นเขตแดนหายลับไปกับสายตา ซึ่งเป็นเหตุการณ์เกิดเร็วมากไม่กี่เสี้ยววินาที
เลสลีให้ข้อมูลว่า ในเวลานั้นเธอมองไม่เห็นใครในฝั่งเกาหลีเหนือ กลุ่มทัวร์ได้รับการแจ้งก่อนหน้าว่า ฝ่ายเกาหลีเหนือเก็บตัวนับตั้งแต่วิกฤตโควิด-19 เกิดระบาด
ซึ่งหลังจากคิงวิ่งหายเข้าไปในฝั่งเกาหลีเหนือ ด้วยความเร่งรีบทหารลาดตระเวนในพื้นที่ได้ต้อนกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เหลือเข้าไปในอาคารก่อนนำไปที่ศูนย์ข้อมูลเพื่อการให้ข้อมูล ซึ่งนักท่องเที่ยวหลายคนในกลุ่มที่มาด้วยกันรวมถึงพ่อของเลสลีนั้นไม่ได้เห็นภาพคิงวิ่งข้ามพรมแดน แต่ทว่าทหารลาดตระเวนได้แจ้งแก่พวกเขาถึงเหตุที่เกิดขึ้น
นิวยอร์กโพสต์รายงานถึงเงื่อนงำว่า คิงนั้นถูกนำตัวไปท่าอากาศยานอินชอนเกาหลีใต้เพื่อส่งตัวกลับไปยังฐานทัพที่รัฐเทกซัสในวันจันทร์ (17) โดยสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ส แต่แทนที่เขาจะเดินทางขึ้นเครื่องเที่ยวบิน 18.36 น.ตามเวลาท้องถิ่นของวันจันทร์ (17) เขาอ้างกับเจ้าหน้าที่สายการบินว่า เขาทำหนังสือเดินทางหายและส่งผลทำให้เจ้าหน้าที่สายการบินต้องนำตัวเขาออกไปหลังผ่านเกตตรวจเช็กแล้ว
“เขาผ่านจุดตรวจความปลอดภัยทั้งหมดไปจนถึงเกตขึ้นเครื่อง แต่กลับพบว่าเขาได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่สายการบินว่าหนังสือเดินทางหาย” เจ้าหน้าที่สนามบินอินชอนให้สัมภาษณ์กับ CNN
และส่งผลทำให้คิงเดินทางออกมาจากสนามบินอินชอนโดยที่ไม่แจ้งต่อผู้บังคับบัญชา ก่อนที่ในวันถัดมาได้ปรากฏตัวในชุดพลเรือนก่อนร่วมกลุ่มเดินทางท่องเที่ยวหมู่บ้านปันมุนจอมในที่สุด
นิวยอร์กโพสต์รายงานว่า มาจนถึงวันพุธ (19) วอชิงตันยังคงพยายามปะติดปะต่อในแรงจูงใจที่ทหารสหรัฐฯ นายนี้หลบหนี ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ เชื่อว่า คิงนั้นยังคงอยู่ในเกาหลีเหนือแต่ไม่แน่ชัดว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่ CNN ชี้
โพลิติโกรายงานว่า วอชิงตันกล่าวว่า รัฐบาลเกาหลีเหนือไม่ตอบสนองต่อความพยายามของสหรัฐฯ ในการหารือเกี่ยวกับทหารอเมริกันที่ข้ามแดนเข้าเกาหลีเหนือไป
โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า “เมื่อวานนี้เพนตากอนได้พยายามติดต่อกองทัพเกาหลีเหนือ ซึ่งตามความเข้าใจของผมนั้นการสื่อสารยังไม่มีการตอบสนอง”
และเสริมว่า กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ในเกาหลีใต้และสวีเดน ซึ่งโฆษกกระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้แถลงวันนี้ (20) ว่า กระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ได้แชร์ข้อมูลให้กองบัญชาการยูเอ็นภายใต้การนำของสหรัฐฯ ในเกาหลีใต้ แต่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดมากไปกว่านี้
ผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งเชื่อว่า เปียงยางคงไม่ปล่อยตัวทหารสหรัฐฯ นายนี้ออกมาง่ายๆ จากการที่เขาเป็นทหารท่ามกลางสถานการณ์ตรึงเครียดระหว่าง 2 ชาติ