xs
xsm
sm
md
lg

อเมริกาถึงคราววิกฤต! “ทรัมป์” เตรียมเปลี่ยนให้ 'ปธน.สหรัฐฯ' มีอำนาจเบ็ดเสร็จในมือหากชนะเลือกตั้ง อ้างต้องทำลาย “Deep State” ในวอชิงตัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ - อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ และพรรคพวกกำลังวางแผนเปลี่ยนโฉมใหม่หมด เล็งหากชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 จะเปลี่ยนให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีอำนาจมากกว่าเดิมเหนือสภาคองเกรสสหรัฐฯ ที่มาจากเสียงเดอะพีเพิลประชาชนอเมริกัน ใช้ทฤษฎี Unitary executive theory อิงมาตรา 2 ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ กำหนดให้ประธานาธิบดีมีอำนาจบริหารโดยสมบูรณ์ ทรัมป์เพิ่งประกาศเดือนที่ผ่านมาบนเวทีหาเสียงรัฐมิชิแกน หากชนะทำลายอำนาจมืด “Deep State” ภายในวอชิงตัน

หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานวันนี้ (17 ก.ค.) ว่า อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวเต็งในการเลือกตั้งรอบไพรมารีของพรรครีพับลิกันกำลังวางแผนการใหญ่กับพรรคพวก นิวยอร์กไทม์สค้นพบ ซึ่งทรัมป์กล่าวปราศรัยเดือนที่ผ่านมาที่รัฐมิชิแกนมีใจความว่า

“พวกเราจะทำลาย deep state หรืออำนาจมืดในรัฐ”

และเขากล่าวต่อว่า “พวกเราจะขับไล่พวกกระหายสงครามจากรัฐบาลสหรัฐฯ ของพวกเรา พวกเราจะไล่พวกโลกาภิวัตน์ออกไปให้หมด พวกเราจะขับไล่พวกคอมมิวนิสต์ พวกมาร์กซิสต์ และพวกฟาร์สซิสต์อำนาจนิยม และพวกเราจะจับโยนพวกชนชั้นนักการเมืองที่น่ารังเกียจซึ่งเกลียดชังประเทศของพวกเรา”

นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า ทรัมป์กำลังวางแผนจะขยายอำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกไปหากว่าเขาชนะการเลือกตั้งปี 2024 เป็นการวางแผนที่จะสร้างความสั่นสะเทือนให้อเมริกานับตั้งแต่ตั้งประเทศเมื่อกว่า 200 ปี

เขาส่งสัญญาณตั้งใจจะยุติธรรมเนียมปฏิบัติหลังยุคคดีวอเตอร์เกต ที่ส่งทำให้อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ริชาร์ด นิกสัน ต้องลาออก ยุคหลังคดีวอเตอร์เกตที่อเมริกาสามารถมีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ทำงานได้เป็นอิสระจากทำเนียบขาว

หนังสือพิมพ์สหรัฐฯ รายงานโดยอ้างจากแผนนโยบายหาเสียงของทรัมป์ และการสัมภาษณ์คนใกล้ชิดจำนวนหนึ่ง

ตามแผนทรัมป์ และคนใกล้ชิดต้องการขยายอำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในทุกส่วนของฝ่ายบริหารรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่กำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะตามกฎหมายหรือตามธรรมเนียมปฏิบัติ พร้อมไปกับมาตรการอิสระจากการแทรกแซงทางการเมืองโดยทำเนียบขาว

อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ต้องการล้างบางหน่วยงานข่าวกรองสหรัฐฯ ทั้งหมด รวมไปถึงกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ และหน่วยงานด้านกลาโหมสหรัฐฯ เพื่อต้องการกำจัดเจ้าหน้าที่รัฐที่ทรัมป์มองว่าเป็นชนชั้นทางการเมืองที่น่ารังเกียจซึ่งมีความเกลียดชังประเทศสหรัฐฯ ของพวกเราที่เคยกล่าวไว้ในการหาเสียง

นอกจากนี้ ทรัมป์ต้องการนำนโยบายสุดอื้อฉาวที่โดนสภาคองเกรสเคยสั่งห้ามในสมัยอดีตประธานาธิบดีนิกสันกลับมาใช้ พบเขาต้องการให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีอำนาจ “ยึดเงิน” หรือ “ปฏิเสธการจ่ายเงิน” ในงบที่สภาคองเกรสสหรัฐฯ ได้อนุมัติในโครงการหรือวาระที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ชื่นชอบ

รวมไปถึงต้องการให้หน่วยงานอิสระของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ให้มาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขาทั้งหมด

ตัวอย่างหน่วยงานอิสระที่สำคัญได้แก่ "เฟด" (FED) หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ เป็นหน่วยงานอิสระภายใต้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ และไม่ได้ขึ้นตรงกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ แต่ระบบทั้งหมดอยู่ภายใต้การกำกับของสภาคองเกรสสหรัฐฯ จากการที่เฟดก่อตั้งโดยสภาคองเกรสสหรัฐฯ เมื่อปี 1913

และการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ เป็นต้นว่า ยกเลิกการปกป้องเจ้าหน้าที่รัฐส่งผลกระทบจำนวนมากทำให้สามารถปลดออกหรือเปลี่ยนตัวหากว่าขวางนโยบายของทรัมป์

นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า ทรัมป์และคนใกล้ชิดวางแผนนโยบายขยายอำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตาม ทฤษฎี Unitary executive theory อิงมาตรา 2 ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ที่อนุญาตให้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯ ควบคุมอำนาจฝ่ายบริหารโดยสมบูรณ์ ดังนั้น สภาคองเกรสสหรัฐฯ ที่มาจากประชาชนจะไม่สามารถมอบอำนาจให้หัวหน้าหน่วยงานในการตัดสินใจหรือจำกัดอำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อไล่คนเหล่านั้นออก

ทีมกฎหมายอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ โรนัลด์ เรแกน เป็นผู้ตั้งทฤษฎี Unitary executive theory นี้ขึ้นมาเพื่อต้องการเดินหน้าวาระการผ่อนคลายระเบียบทางธุรกิจในเวลานั้น

อ้างอิงจากวารสารวิชาการ JSTOR ชื่อดัง งานวิจัย The Unitary Executive Theory : A Danger to Constitutional Government โดย Jeffrey Crouch และ Mark J. Rozell และ Mitchel A. Sollenberger ตีพิมพ์ในปี 2020 ในตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “หนึ่งในลักษณะสำคัญของทฤษฎี Unitary executive theory คือประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมีอำนาจแต่ผู้เดียวเหนืออำนาจฝ่ายบริหารทั้งหมด"  ซึ่งหมายความว่าสภาคองเกรสสหรัฐฯ ไม่สามารถขวางอำนาจประธานาธิบดีได้

หนังสือพิมพ์สหรัฐฯ กล่าวว่า 2 กำลังสำคัญที่อยู่เบื้องหลังต้องการเปลี่ยนแปลงอำนาจบริหารประธานาธิบดีสหรัฐฯ ใหม่หมดมาจากทีมหาเสียงของทรัมป์ และเครือข่ายฝ่ายอนุรักษนิยมอเมริกันทุนหนา

โดยในฝ่ายทรัมป์พบว่าที่ปรึกษา 2 คนคือ วินเซนต์ ฮาลีย์ (Vincent Haley) และรอส เวิร์ธธิงตัน (Ross Worthington) เป็นคนร่างและมีที่ปรึกษาคนอื่นร่วมอยู่ด้วย รวมไปถึง สตีเฟน มิลเลอร์ (Stephen Miller) คนวางแผนนโยบายเข้าเมืองสหรัฐฯ ที่อื้อฉาวของทรัมป์

ขณะที่ธิงแทงก์ Heritage Foundation เป็นผู้ดำเนินการโปรเจกต์ปี 2025 มูลค่า 20 ล้านดอลลาร์ในปฏิบัติการเปลี่ยนผ่านอำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่มีการกำหนดนโยบาย รายชื่อบุคคลที่เหมาะสมและแผนการเปลี่ยนผ่านให้ผู้สมัครพรรครีพับลิกันคนใดก็ตามที่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024


กำลังโหลดความคิดเห็น