เอพี/เอเจนซีส์ - รัฐมนตรีต่างประเทศไทย ดอน ปรมัตถ์วินัย แถลงวันพุธ (12 ก.ค.) ว่า สร้างปรากฏการณ์ breakthrough พบกับผู้นำเรียกร้องประชาธิปไตยพม่า อองซานซูจี ที่อยู่ในเรือนจำเมื่อสุดสัปดาห์ที่เพิ่งผ่านมา ยันซูจีส่งสัญญาณชัดเปิดกว้างต้องการร่วมวงเจรจาสันติภาพแก้วิกฤต ประกาศรัฐบาลไทยต้องการให้พม่ากลับเข้าอาเซียนอีกครั้ง ส่วนหน่วยเรือยามฝั่งอินโดนีเซียเจอของร้อน พบเรือบรรทุกน้ำมันอิหร่านโผล่ในน่านน้ำแต่เปิดสัญญาณแสดงพิกัดลวงอ้างอยู่ในทะเลแดง หลังสัปดาห์ที่แล้วเรือรบสหรัฐฯ เข้าขวางเตหะรานพยายามยึดเรือบรรทุกน้ำมันพาณิชย์ 2 ลำใกล้ช่องแคบฮอร์มูซในตะวันออกกลาง
เอพีรายงานวันนี้ (12 ก.ค.) ว่า รัฐมนตรีต่างประเทศไทย ดอน ปรมัตถ์วินัย กลายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างชาติคนแรกที่สามารถเข้าถึงตัวพบผู้นำเรียกร้องประชาธิปไตย "อองซานซูจี" นับตั้งแต่ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำนับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารจากรัฐบาลพม่าที่มาจากการเลือกตั้งของเธอเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ปี 2021
ดอนซึ่งกำลังจะลงจากตำแหน่งหลังมีการจัดตั้งรัฐบาลไทยชุดใหม่สำเร็จในภายหลังได้เปิดเผยในที่ประชุมอาเซียนในวันพุธ (12) ที่กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซียว่า ซูจีมีสุขภาพดีและเขาได้มีโอกาสหารือกับซูจีนานกว่า 1 ชั่วโมงภายในเรือนจำที่เธอถูกควบคุมตัวเมื่อวันอาทิตย์ (9)
เขากล่าวว่า อองซานซูจีต้องการที่จะร่วมการเจรจาวิกฤตพม่า “เธอสนับสนุนการเจรจา” และดอน ปรมัตถ์วินัย กล่าวต่อว่า “แน่นอนที่สุดพวกเรากำลังพยายามหาหนทางเพื่อจัดการกับพม่า”
อย่างไรก็ตาม โฆษกรัฐบาลสมานฉันท์แห่งชาติพม่าที่อ้างตัวว่าเป็นรัฐบาลพม่าโดยชอบธรรมกล่าวแสดงความเห็นกับเอพีถึงการหารือระหว่างดอน และซูจีที่น้อยครั้งจะสามารถเข้าถึงตัวเธอได้นั้นนำมาสู่คำถาม และประชาชนพม่าไม่มั่นใจว่าการเจรจาสันติภาพเพื่อแก้วิกฤตจะเกิดขึ้นได้จริง
โฆษกชี้ต่อว่า รัฐบาลทหารพม่าหลอกใช้ความมีชื่อเสียงของซูจีในครั้งนี้** ให้เป็นประโยชน์สำหรับการยอมรับในทางอ้อมว่าคนเหล่านี้ไม่อยู่ในสถานการณ์ที่ดีโดยคำนึงถึงวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศ
ทั้งนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยได้เปิดเผยก่อนหน้าในวันอังคาร (11) ว่า รัฐบาลไทยต้องการเห็น “สมาชิกอาเซียนทุกชาติ” กลับเข้ากลุ่ม แต่ไม่ได้กล่าวเปิดเผยในรายละเอียดถึง “จุดยืนของไทย” ที่แยกออกมาจากจุดยืนของกลุ่มอาเซียนที่ไม่รับรองสถานะรัฐบาลทหารพม่าและห้ามเข้าร่วมในการประชุมระดับสูงของอาเซียน
เอพีรายงานว่า ดอน ปรมัตถ์วินัย ถูกนักข่าวถามว่า คิดว่าการได้เข้าพบซูจีถึงในเรือนจำนี้ถือเป็นความสำเร็จครั้งใหญ่ถึงขั้น breakthrough หรือไม่ รัฐมนตรีต่างประเทศตอบกลับมา “เขามองว่าเป็นแง่บวก” ซึ่งฝ่ายไทยต้องการให้รัฐบาลทหารพม่าเดินตามแผนสันติภาพ 5 ข้อ
ทั้งนี้ แหล่งข่าวนักการทูตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2 คนที่เกี่ยวข้องในการประชุมที่กรุงจาการ์ตา เปิดเผยว่า ไทยพยายามผลักดันเพิ่มขึ้นเพื่อช่วยคลายวิกฤตพม่าเพราะฝ่ายกรุงเทพฯ วิตกว่า ความรุนแรงยกระดับจะผลักดันทำให้เกิดคลื่นผู้อพยพฝ่าพรมแดนเข้าไปในดินแดนไทย
ขณะเดียวกัน อินโดนีเซียต้องปวดหัวกับปัญหาเรือแท็งเกอร์เถื่อนอิหร่านที่โผล่เข้าในน่านน้ำของตัวเอง
ฟ็อกซ์นิวส์ของสหรัฐฯ รายงานวานนี้ (11) ว่า หน่วยงานยามฝั่งอินโดนีเซียจับกุมเรือติดธงอิหร่านต้องสงสัยขนน้ำมันเถื่อนอยู่ห่างจากพิกัดสัญญาณที่ลวงอ้างว่าอยู่ในทะเลแดงห่างออกไปร่วม 5,000 ไมล์
ผู้บัญชาการหน่วยงานยามฝั่งอินโดนีเซีย อาน เคอร์เนีย (Aan Kurnia) กล่าวผ่านแถลงการณ์มีใจความว่า
“MT Arman ปลอมแปลงระบบแสดงพิกัดอัตโนมัติ AIS ตั้งให้โชว์อยู่ในทะเลแดงแต่ในความเป็นจริงมันอยู่ที่นี่”
ทั้งนี้ พบว่าเรือบรรทุกน้ำมัน The MT Arman 114 ขนน้ำมันดิบชนิดเบา จำนวน 273,000 เมตริกตัน มูลค่าร่วม 304 ล้านดอลลาร์ ถูกจาการ์ตายึดไว้ได้ที่ทะเลนาทูนาเหนือ (North Natuna Sea) สัปดาห์ที่ผ่านมา รอยเตอร์รายงาน
หัวหน้าหน่วยงานยามฝั่งอินโดฯ แถลงต่อว่า เรือแท็งเกอร์น้ำมันลำดังกล่าวได้ขนถ่ายน้ำมันไปเรือ MT S Tinos ชักธงแคเมอรูน และเรือทั้ง 2 ลำพยายามหลบหนีก่อนที่จะโดนจับได้โดยได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่มาเลเซียที่ปฏิบัติการในน่านน้ำตัวเอง
เคอร์นีสรุปว่า “มันเหมือนว่ามีประสงค์ร้าย”
ทั้งนี้ เรือขนน้ำมันอิหร่านไม่ได้รับอนุญาตให้สามารถขนถ่ายน้ำมันและได้ทิ้งน้ำมันดิบลงมหาสมุทรบางส่วนก่อนโดนจับ
ฟ็อกซ์นิวส์รายงานว่า ช่องแคบสิงคโปร์ได้กลายเป็นจุดหมายใหม่สำหรับบรรดาประเทศติดบัญชีดำคว่ำบาตร ได้แก่ อิหร่าน รัสเซีย เวเนซุเอลา ได้ขนถ่ายคาร์โกของชาติเหล่านี้ในช่องแคบสิงคโปร์ หวังหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม
ซึ่งในสัปดาห์ที่แล้วเรือรบสหรัฐฯ ประสบความสำเร็จสามารถหยุดอิหร่านในการเข้ายึดเรือขนน้ำมันพาณิชย์ 2 ลำในอ่าวโอมาน
กองบัญชาการกองกำลังเรือสหรัฐฯ NAVCENT (U.S. Naval Forces Central Command) กล่าวว่า การเข้าโจมตีจากอิหร่านเกิดขึ้นเมื่อเวลา 01.00 น. ต่อเรือบรรทุกน้ำมัน TRF Moss ชักธงเกอะมาร์แชลแต่เรือพิฆาตติดมิสไซล์นำวิธีสหรัฐฯ USS McFaul เข้ามาขวาง
และในครั้งที่ 2 เกิดขึ้นกับเรือบรรทุกน้ำมันดิบ Richmond Voyager ชักธงบาฮามาสของบริษัทเชฟรอน ซึ่งเรือรบอิหร่านถึงขั้นเปิดฉากยิง 3 ชั่วโมงหลังการโจมตีครั้งแรก เรือรบสหรัฐฯ USS McFaul เร่งสปีดเข้าไปช่วยหลังได้รับสัญญาณขอความช่วยเหลือด่วน
