สหรัฐฯ ประกาศยืนยันวานนี้ (7 ก.ค.) จะส่งระเบิดพวง หรือ “คลัสเตอร์บอมบ์” ซึ่งเป็นอาวุธต้องห้ามให้ยูเครนใช้รบกับรัสเซีย ขณะที่หน่วยงานด้านสิทธิมนุษยชนและเลขาธิการใหญ่สหประชาชาติต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของอเมริกาในครั้งนี้
อาวุธดังกล่าวจะเป็นส่วนหนึ่งของแพกเกจความช่วยเหลือล็อตใหม่ 800 ล้านดอลลาร์ และจะทำให้มูลค่าความช่วยเหลือด้านการทหารที่สหรัฐฯ มอบแก่ยูเครนนับตั้งแต่รัสเซียเปิดศึกรุกรานเมื่อต้นปีที่แล้วเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์
ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน อ้างว่าสงครามครั้งนี้เป็น “ปฏิบัติการพิเศษทางทหาร” เพื่อปกป้องความมั่นคงของรัสเซีย และกล่าวหาสหรัฐฯ กับบรรดาชาติพันธมิตรว่ากำลังแผ่ขยาย “สงครามตัวแทน” นี้ออกไปเรื่อยๆ
เจ้าหน้าที่เพนตากอนให้สัมภาษณ์ว่า กระสุนคลัสเตอร์เหล่านี้ “จะถูกส่งให้แก่ยูเครนตามกรอบเวลาที่เหมาะสมสำหรับปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ (counteroffensive)”
กว่า 120 ประเทศทั่วโลกได้เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยระเบิดพวงปี 2008 (Convention on Cluster Munitions) ซึ่งห้ามการผลิต ใช้งาน สะสม หรือเคลื่อนย้ายอาวุธประเภทนี้
ระเบิดพวงถือเป็นอาวุธที่ใช้ในการสังหารแบบไม่เลือก เพราะจะปลดปล่อยลูกระเบิดขนาดเล็กกระจายตัวออกเป็นวงกว้าง และลูกระเบิดเหล่านี้หากไม่ทำงานก็อาจฝังตัวอยู่ในดินได้นับสิบๆ ปีหลังจากที่สงครามจบไปแล้ว ซึ่งจะก่ออันตรายกับพลเรือนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
ทั้งรัสเซีย ยูเครน และสหรัฐฯ ต่างปฏิเสธที่จะเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฉบับนี้
เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว ยืนยันว่า “ยูเครนได้ยื่นหนังสือรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะนำอาวุธชนิดนี้ไปใช้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง” เพื่อให้เกิดความเสี่ยงต่อพลเรือนน้อยที่สุด
ด้านประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ยอมรับว่า การส่งคลัสเตอร์บอมบ์ให้แก่ยูเครนถือเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก แต่สหรัฐฯ เชื่อว่ายูเครน “จำเป็น” ต้องใช้อาวุธเหล่านี้
ที่มา : รอยเตอร์
