เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะเดินทางเยือนกรุงปักกิ่งในสัปดาห์นี้ ซึ่งถือเป็นการเยือนระดับรัฐมนตรีครั้งที่ 2 ในรอบไม่กี่สัปดาห์ ท่ามกลางความสัมพันธ์วอชิงตัน-ปักกิ่งที่ตึงเครียดหนักมาตั้งแต่ช่วงต้นปี
กระทรวงการคลังสหรัฐฯ แถลงวานนี้ (2 ก.ค.) ว่า เยลเลน จะหารือกับรัฐมนตรีคลังและเจ้าหน้าที่ฝ่ายจีนเพื่อเน้นย้ำความจำเป็นที่ทั้ง 2 ฝ่าย “จะต้องบริหารจัดการความสัมพันธ์อย่างรับผิดชอบ สื่อสารกันโดยตรงในประเด็นที่น่ากังวล และร่วมกันทำงานเพื่อรับมือปัญหาท้าทายในระดับสากล”
กำหนดการเยือนจีนของ เยลเลน ระหว่างวันที่ 6-9 ก.ค. มีขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ตามหลังทริปปักกิ่งของ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งมีโอกาสได้เข้าพบทั้งประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และรัฐมนตรีต่างประเทศ ฉิน กัง เมื่อเดือน มิ.ย.
บลิงเคน ถือเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของอเมริกาที่ไปเยือนปักกิ่งในรอบเกือบ 5 ปี ขณะที่ประธานาธิบดี สี ได้กล่าวระหว่างต้อนรับ บลิงเคน ว่าเล็งเห็นถึง “ความคืบหน้า” ในความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ
เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ให้ข้อมูลวานนี้ (2) ว่า เยลเลน จะหารือเกี่ยวกับมุมมองด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่สหรัฐฯ มีต่อจีน และจะเข้าพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนหลายคน รวมไปถึงผู้บริหารของภาคธุรกิจอเมริกันในจีนด้วย
แหล่งข่าวผู้นี้เผยว่า แม้สหรัฐฯ จะมุ่งมั่นปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของอเมริกาและหลักสิทธิมนุษยชน แต่ไม่มีเจตนาที่จะใช้ประเด็นเหล่านี้ “เป็นเครื่องมือแสวงหาความได้เปรียบจีนในเชิงเศรษฐกิจ” นอกจากนี้ วอชิงตันยังคาดหวังความสัมพันธ์ในระดับที่ดี (healthy) กับจีน และไม่ต้องการให้ระบบเศรษฐกิจของสองมหาอำนาจถูกตัดขาด (decouple) จากกัน
สหรัฐฯ ยังหวังที่จะทำงานร่วมกับจีนเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนต่างๆ ของโลก เช่น ความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และปัญหาหนี้สิน เป็นต้น
เจ้าหน้าที่คนเดิมย้ำว่า สหรัฐฯ ไม่ได้คาดหวังว่าการไปเยือนจีนของ เยลเลน จะสามารถ “ผ่าทางตัน” ได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่มุ่งที่จะเปิดช่องทางสื่อสารต่างๆ ในระยะยาวกับจีนมากกว่า
เอ็ดเวิร์ด แอลเดน นักวิเคราะห์จากสถาบันความสัมพันธ์ต่างประเทศ (Council on Foreign Relations - CFR) ให้ความเห็นกับเอเอฟพีว่า “ผมคิดว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังพยายามอย่างจริงจังที่จะยับยั้งไม่ให้ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจกับจีนตกต่ำลงไปกว่านี้”
แอลเดน ยังเชื่อว่าทริปของ เยลเลน จะช่วย “ฟื้นฟูการมีปฏิสัมพันธ์ที่สม่ำเสมอในระดับล่าง” ระหว่างทั้ง 2 ชาติ และสหรัฐฯ เริ่มเผยท่าทีชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าสนับสนุนยุทธศาสตร์ปลดล็อกความเสี่ยง (derisk) มากกว่าที่จะตัดขาด (decouple) กับจีน
“นั่นหมายถึงการโฟกัสไปยังไม่กี่ประเด็นที่มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ พยายามล้อมรั้วในประเด็นเหล่านี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ให้เดินหน้าต่อไปได้” แอลเดน กล่าว
อย่างไรก็ดี ผู้สังเกตการณ์เชื่อว่าความตึงเครียดระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะยังไม่พบทางออกที่รวดเร็ว เนื่องจากติดอุปสรรคอีกหลายประการ ตัวอย่างเช่น รัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน กำลังพิจารณาจำกัดการลงทุนของสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเซนซิทีฟซึ่งอาจกระทบต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่สร้างความขุ่นเคืองต่อจีนไม่น้อย รวมไปถึงกรณีที่จีนแก้กฎหมายต่อต้านการจารกรรม (anti-espionage law) โดยห้ามการถ่ายโอนข้อมูลใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวพันกับความมั่นคงของรัฐ และขยายขอบเขตคำนิยาม “การจารกรรม” ให้กว้างขวางยิ่งกว่าเดิม ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อบริษัทและบุคลากรต่างชาติ
ที่มา : เอเอฟพี