รอยเตอร์/เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ - ระอุหนัก เยฟเกนี พริโกชิน ผู้บัญชาการกองกำลังทหารรับจ้างรัสเซีย วากเนอร์ ชื่อดังในวันพุธ (14 มิ.ย.) ยังคงยืนกรานจะไม่ยอมลงนามข้อตกลงกับกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ถึงแม้ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน นายใหญ่วันก่อนหน้าจะชี้ชะตาว่า "วากเนอร์" ต้องลงนามในสัญญาตามรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย เซอร์เก ชอยกู ประกาศเพื่อทำให้ความขัดแย้งหมดไป สื่อตะวันตกประโคมข่าวปูตินพลาดหลุดปากเผยความลับทางการทหารออกมา ชี้รถถังรัสเซียเสียหาย 54 คัน เทียบกับฝ่ายยูเครน 160 คัน คิดเป็นอัตราสูญเสีย 1 ใน 3 ไม่ใช่ 1 ใน 10 ตามที่ประโคมไปทั่ว และเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายเครมลินเปิดตัวเลขเสียหายในสมรภูมิรบที่แท้จริงออกมา
รอยเตอร์รายงานวานนี้ (14 มิ.ย.) ว่า เยฟเกนี พริโกซิน ที่ในเวลานี้ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวอะไรตกเป็นเป้าสายตาจับจ้องจากสื่อทั่วโลก ล่าสุดในวันพุธ (14) กลายเป็นที่ฮือฮาไปทั่วเมื่อพริโกซินออกมาปฏิเสธคำประกาศิตของประธานาธิบดีรัสเซียด้วยการยังคงยืนกรานว่า กลุ่มนักรบรับจ้างวากเนอร์จะไม่เซ็นสัญญาขึ้นกับกระทรวงกลาโหมรัสเซีย
เกิดขึ้นหลังในวันอังคาร (14) ระหว่างที่ผู้นำรัสเซียเปิดการประชุมร่วมกับกลุ่มบล็อกเกอร์สงครามรัสเซียชื่อดังทั้งหลาย ปูตินกล่าวเข้าข้างรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย เซอร์เก ชอยกู โดยชี้ว่า เขาเห็นด้วยต่อความริเริ่มจากกระทรวงกลาโหมรัสเซียสำหรับการลงนามสัญญากับกลุ่มวากเนอร์ที่ปูตินชี้ว่า “สัญญามีความจำเป็น” เดอะการ์เดียน สื่ออังกฤษวิเคราะห์ว่า ในทางกว้างขวางเป็นเสมือนคำสั่งที่มีเพื่อเด็ดปีกพริโกซินในการลดอำนาจการควบคุมกลุ่มวากเนอร์ที่ประสบความสำเร็จสามารถนำชัยชนะในสนามรบบัคมุตให้รัสเซียสำเร็จ
โดยในการประชุมที่มีการถ่ายทอดสดออกโทรทัศน์วันอังคาร (14) ผู้นำรัสเซียแถลงว่า “สิ่งนี้จำเป็นต้องเกิดขึ้น สิ่งนี้ต้องเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด” พร้อมเสริมต่อว่า “มันสอดคล้องไปกับจิตสามัญสำนักในการทำให้วิธีการปฏิบัติสอดคล้องไปกับกฎหมาย”
รอยเตอร์กล่าวว่า พริโกซินที่มีปัญหากับระดับการบังคับบัญชาของกระทรวงกลาโหมรัสเซีย โดยเฉพาะต่อชอยกูมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยกล่าวหาว่า บิ๊กกลาโหมรัสเซียไม่ให้การสนับสนุนต่อกลุ่มวากเนอร์อย่างเพียงพอและส่งผลทำให้กองกำลังวากเนอร์มีอัตราเสียชีวิตสูงระหว่างการสู้รบในยูเครน
ซึ่งในคำแถลงวันพุธ (14) ของพริโกซินยังได้เสนอแนะทางออกว่า เขาคิดว่าทางออกที่ประนีประนอมจะสามารถพบกันได้ระหว่างประธานาธิบดีปูติน และรัฐสภาดูมาของรัสเซียในเรื่องทำให้นักรบวากเนอร์ได้รับหลักประกันทางสังคมและใบอนุญาตเป็นทางการรับรองในฐานะทหารรับจ้างเอกชนรัสเซีย
ขณะเดียวกัน ปูตินตกเป็นข่าวไปทั่วในโลกตะวันตกหลังพบว่าเขาเป็นคนหลุดปากเปิดเผยออกมาเองสำหรับตัวเลขความเสียหายรถถังรัสเซียในสมรภูมิยูเครน หลังที่ผ่านมา เครมลินออกมาเย้ยชาติตะวันตกสำหรับตัวเลขรถถังและรถหุ้มเกราะราคาแพงทั้งจากสหรัฐฯ เยอรมนีที่โดนถล่มเละในสงคราม
เดลีเอ็กซ์เพรสของอังกฤษ รายงานวานนี้ (14) ว่า ในระหว่างการประชุมหน้าจอทีวีร่วมกับบล็อกเกอร์สงครามและกลุ่มนักข่าวทางการทหารรัสเซียนั้น ผู้นำรัสเซียหลังออกมาอ้างว่า เคียฟไม่ประสบความสำเร็จการโจมตีตอบโต้กลับแล้ว
ปูตินอ้างว่า ฝ่ายรัสเซียสูญเสียน้อยมากแค่ 1 ใน 10 ของความสูญเสียของฝ่ายยูเครน แต่ทว่าเขากลับเปิดเผยความลับทางการทหารกลางจอทีวีโดยกล่าวว่า
“ในขณะที่การสูญเสียของพวกเรา ขอให้กระทรวงกลาโหมรัสเซียพูดเกี่ยวกับปัจจัยอื่นๆ และด้านกำลังพล ผมได้พูดไปว่าพวกเขาเสียรถถังไปไม่ต่ำกว่า 160 คัน และพวกเราสูญเสียไป 54 คัน ที่มีบางส่วนสามารถกู้กลับมาและซ่อมแซมใหม่ได้”
ซึ่งจากคำพูดที่หลุดปากของปูตินแสดงให้เห็นว่า รัสเซียเสียรถถังไป 1 ใน 3 ที่ฝ่ายยูเครนสูญเสียไม่ใช่ 1 ใน 10 เหมือนตามคำอ้างในตอนแรก
ในคำกล่าวอื่นๆ ผู้นำรัสเซียกล่าวว่า ยูเครนเสียยานยนต์หุ้มเกราะไปกว่า 360 คัน ซึ่งผู้นำรัสเซียชี้ว่า เป็นการสูญเสียที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เดลีเอ็กซ์เพรสรายงานว่า การขาดยุทโธปกรณ์หลักทางการทหารทำให้ผู้นำรัสเซียต้องขายหน้าจากการที่กองกำลังรัสเซียถูกผลักดันโต้กลับจากฝ่ายเคียฟ
ซึ่งผู้นำรัสเซียยอมรับออกมาจากปากในที่ประชุมวันอังคาร (13) ว่า การสู้รบไม่เป็นไปตามแผน และฝ่ายรัสเซียจำเป็นต้องมีโดรนโจมตีเพิ่ม
ทั้งนี้ ไม่ใช่เป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีปูตินยอมรับว่า กองทัพรัสเซียนั้นมียุทโธปกรณ์ที่เชยและล้าสมัยและขาดแคลน เพราะก่อนหน้าอ้างอิงจากการรายงานของบิสซิเนส อินไซเดอร์ ที่รายงานจากแถลงการณ์ของผู้นำรัสเซียที่ถูกเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์เครมลินในวันศุกร์ (9)
ปูติยยอมรับว่าต้องมีการปรับปรุงยุทโธปกรณ์กองทัพรัสเซียให้มีความทันสมัยหากว่ามอสโกต้องการชนะในการทำสงครามกับยูเครน
เขาเปิดเผยว่า กองทัพรัสเซียจำเป็นต้องเพิ่มยุทโธปกรณ์ทันสมัยจำนวนเพิ่มมากขึ้น ถือเป็นคำกล่าวที่สำคัญสะท้อนไปถึงรายงานที่หลุดออกมาว่า ทหารแนวหน้ารัสเซียใช้อาวุธรุ่นโซเวียตที่เชยและล้าสมัยต่อสู้กับอาวุธยุทโธปกรณ์ล้ำสมัยจากสหรัฐฯ อังกฤษ และเยอรมนีในสมรภูมิการรบที่ยูเครน