เซียร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมรัสเซีย ออกมาแถลงวานนี้ (6 มิ.ย.) ว่ากองทัพหมีขาวสามารถสกัดกั้นปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ (counter-offensive) ของยูเครนได้สำเร็จ โดยในช่วง 3 วันแรกพบว่ามีทหารยูเครนถูกสังหารไปแล้วกว่า 3,700 นาย
เป็นที่น่าสังเกตว่า ชอยกู ออกมาแถลงข่าวครั้งนี้ด้วยตนเอง แทนที่จะมอบหมายให้โฆษกกระทรวงเป็นผู้ชี้แจงเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
“ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา ระบอบยูเครนได้เริ่มต้นการโจมตีที่พวกเขาสัญญามานานในบริเวณพื้นที่แนวหน้าหลายแห่ง” ชอยกู ระบุ “ความพยายามของพวกเขาไม่สำเร็จ พวกศัตรูถูกยับยั้งเอาไว้ และไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย แต่กลับเป็นฝ่ายสูญเสียอย่างหนัก”
รัฐมนตรีกลาโหมรัสเซียอ้างว่า ตลอด 3 วันที่ผ่านมากองกำลังรัสเซียสามารถปลิดชีพทหารยูเครนไปได้ถึง 3,715 นาย และยังทำลายรถถังอีก 52 คัน กับยานเกราะอีก 207 คัน
ทั้งนี้ ไม่แน่ชัดว่ารัสเซียสามารถระบุตัวเลขความสูญเสียของยูเครนได้แน่นอนขนาดนี้ได้อย่างไร อีกทั้ง ชอยกู ก็ไม่แสดงหลักฐานประกอบคำกล่าวอ้างของตนด้วย
ในส่วนของรัสเซียเอง ชอยกู ระบุว่ามีทหารสละชีพไปทั้งสิ้น 71 นาย บาดเจ็บอีก 210 นายจากปฏิบัติการต่อต้านยูเครน นอกจากนี้ยังมีรถถังถูกทำลายไป 15 คัน และยานเกราะอีก 9 คัน
กระทรวงกลาโหมยูเครนยังปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องนี้ ซึ่งโดยปกติแล้วยูเครนก็จะไม่ประกาศตัวเลขความสูญเสียของฝ่ายตนเอง แต่มักจะประเมินความสูญเสียของรัสเซียเอาไว้ค่อนข้างสูง
เมื่อวันจันทร์ (5) กระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุว่ายูเครนได้เริ่มเปิดปฏิบัติการโจมตีตอบโต้ทหารรัสเซียตามแนวหน้าหลายจุดในแคว้นโดเนตสก์ ทว่าถูกกองกำลังรัสเซียต้านทานเอาไว้ได้ทั้งหมด
อย่างไรก็ดี เยฟเกนี พริโกจิน ผู้นำกลุ่มทหารรับจ้างวากเนอร์ (Wagner) ซึ่งช่วยรัสเซียสู้รบในยูเครน และไม่ค่อยกินเส้นกับกองทัพมอสโก ออกมาวิจารณ์ข้อมูลของกระทรวงกลาโหมที่ประเมินตัวเลขความสูญเสียของยูเครนว่า “โอเวอร์เกินจริงอย่างกับหนังไซ-ไฟ”
รัฐมนตรีกลาโหมหมีขาวยังกล่าวหายูเครนว่าเป็นฝ่ายโจมตีเขื่อนโนวาคาคอฟกา (Nova Kakhovka) ที่กั้นแม่น้ำดนีโปรในแคว้นเคียร์ซอน โดยอ้างว่าเป็นกลยุทธ์ของเคียฟที่จะดึงเอาหน่วยป้องกันในแถบพื้นที่ปลายน้ำให้เข้ามาร่วมปฏิบัติการโจมตีตอบโต้รัสเซีย
ก่อนหน้านั้น มอสโกยังอ้างว่ายูเครนจงใจระเบิดเขื่อนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากความล้มเหลวของปฏิบัติการโจมตีโต้กลับ และต้องการทำลายระบบชลประทานที่หล่อเลี้ยงผู้คนในแหลมไครเมีย ในขณะที่ยูเครนและบรรดาชาติตะวันตกต่างออกมาชี้นิ้วว่ามอสโกเป็นผู้กระทำ
ที่มา : รอยเตอร์