สำนักข่าวบลูมเบิร์ก และเจแปนไทม์ส รายงานข่าว อ้างว่าพรรคฝักใฝ่ประชาธิปไตยในไทยต้องเผชิญกับบอุปสรรคในการจัดตั้งรัฐบาล แม้ได้ชัยชนะครั้งประวัติศาสตร์ในศึกเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคมแล้ว และเวลานี้แรงต้านทานดังกล่าวกำลังเป็นรูปเป็นร่าง สถานการณ์ดังกล่าวผลักให้นักลงทุนเทขายพันธบัตรไปแล้วหลายร้อยล้านดอลลาร์ ท่ามกลางความกังวลต่อความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทย
รายงานของบลูมเบิร์ก และเจแปนไทม์ส ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองของไทย โดยระบุว่า นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งคว้าเก้าอี้ได้มากที่สุดในศึกเลือกตั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม กล่าวในวันพฤหัสบดี (17 พ.ค.) ว่ารัฐบาลผสมของเขาจะประกอบด้วยพรรคการเมือง 8 พรรค รวมทั้งสิ้น 313 เสียง
แม้ว่าจะครองเสียงข้างมากค่อนข้างห่างในสภาผู้แทนราษฎรที่มีทั้งหมด 500 ที่นั่ง แต่พวกเขายังได้ไม่ครบ 376 เสียงที่จำเป็นสำหรับจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่ต้องขอเสียงสนับสนุนจากวุฒิสภา 250 เสียงที่ได้รับการแต่งตั้งจากทหาร เจแปนไทม์สระบุ
เจแปนไทม์ส กล่าวว่า สัญญาณการต่อสู้เข้มข้นรออยู่เบื้องหน้า หลังจากพรรคภูมิใจไทย พรรคที่มาเป็นอันดับ 3 ในศึกเลือกตั้งคว้าเก้าอี้ได้ 70 ที่นั่ง ออกมายืนยันจะไม่สนับสนุนนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี สืบเนื่องจากความต้องการของเขาที่จะแก้ไขมาตรา 112 กฎหมายที่กำหนดโทษสูงสุดจำคุก 12 ปี สำหรับความผิดหมิ่นสถาบัน และวุฒิสภาที่เต็มไปด้วยกลุ่มคนที่จงรักภักดี มีความเป็นไปได้ที่จะเดินรอยตาม
สถานการณ์ความไม่แน่นอนส่งผลกระทบต่อตลาด ด้วยนักลงทุนแห่เทขายสุทธิพันธบัตรของไทยและตลาดหุ้นไทย โดยแค่ในวันพุธ (17 พ.ค.) วันเดียว กองทุนต่างแดนมีการขายสุทธิพันธบัตรไทย 492 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์) มากสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2016 อ้างอิงข้อมูลจากสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย นอกจากนี้ พวกเขายังเทขายหุ้นสุทธิในช่วง 3 วันจนถึงวันพุธ (17 พ.ค.) คิดเป็นมูลค่า 183 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6,300 ล้านบาท)
สำนักข่าวเดลินิวส์ รายงานอ้างข้อมูลของศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า สถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 15-19 พฤษภาคม นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 10,679 ล้านบาท และมีสถานะเป็น Net Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทย 17,741 ล้านบาท (ขายสุทธิ 17,671 ล้านบาท และมีตราสารหนี้หมดอายุ 70 ล้านบาท) หรือมีเงินไหลออกรวมกว่า 28,000 ล้านบาท
ในความพยายามสยบความกังวล นายพิธา วัย 42 ปี บอกว่าพันธมิตรของพวกเขาพร้อมสำหรับความท้าทาย "ผมมั่นใจว่าเราจะได้รับเสียงโหวตเพียงพอสำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" เจแปนไทม์สรายงานอ้างคำกล่าวของนายพิธา ระหว่างให้สัมภาษณ์กับบรรดาผู้สื่อข่าวในกรุงเทพฯ เมื่อวันพฤหัสบดี (18 พ.ค.) ในการแถลงข่าวร่วมกับว่าที่พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ 7 พรรค ในนั้นรวมถึงพรรคเพื่อไทย ที่ได้รับการสนับสนุนจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ตามมาเป็นอันดับ 2 "ไม่มีเหตุการณ์ที่เราไม่ได้คาดคิด"
อย่างไรก็ตาม เจแปนไทม์ส ระบุว่าพันธมิตรรัฐบาลผสมของพิธา อาจตกอยู่ในความเสี่ยง หากพรรคอนุรักษนิยมทั้งหลาย ซึ่งรวมกันได้ราว 180 เสียงในสภาล่าง และได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนใหญ่ของวุฒิสภา ทั้งนี้แม้พรรคภูมิใจไทยบอกว่าพรรคก้าวไกลมีสิทธิจัดตั้งรัฐบาลก่อน แต่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค บ่อยครั้งถูกมองในฐานะตัวเลือกสำหรับเก้าอี้นายกรัฐมนตรี
พรรคก้าวไกลบอกว่าจะไม่กลับลำจากคำประกาศแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เสนอลงโทษจำคุกและจำกัดอำนาจในการยื่นฟ้องคดี ให้เหลือเฉพาะกับสำนักพระราชวังเอง ไม่ใช่ใครก็ได้
อย่างไรก็ตาม เจแปนไทม์สรายงานว่ามีมุมมองที่ต่างกันในพันธมิตรของพิธา โดย ทักษิณ และครอบครัวปลีกตัวเองออกห่างจากความเคลื่อนไหวใดๆ ที่ดูเหมือนเป็นการต่อต้านสถาบัน แม้ทางพรรคบอกว่าเห็นพ้องทำงานร่วมกันเพื่อหาฉันทมติเกี่ยวกับแนวทางเดินหน้าข้อเสนอปรับแก้กฎหมายของพรรคก้าวไกล ทั้งนี้ สื่อญี่ปุ่นแห่งนี้ระบุว่าบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ที่ทางพรรคร่วมรัฐบาลจะลงนามในวันจันทร์ (22 พ.ค.) จะวางกรอบวาระร่วมของพวกเขาและแนวทางในเรื่องมาตรา 112
นายชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บอกว่าทางพรรคสสัญญาจะจัดรั้งรัฐบาลแห่งความหวังและความฝันกับพรรคก้าวไกล ในขณะที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งคว้าชัยชนะในศึกเลือกตั้งทั่วไปของไทยทุกครั้งในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา เคยบอกว่าพวกเขาเปิดกว้างสำหรับพูดคุยหารือข้อเสนอแก้กฎหมายหมิ่นสถาบันในรัฐสภา
อย่างไรก็ตาม เจแปนไทม์ส อ้างพวกนักวิเคราะห์มองว่าพรรคก้าวไกลจำเป็นต้องอ่อนท่าทีลงในเรื่องกฎหมายหมิ่นสถาบัน เพื่อลดความแตกแยกและได้รับแรงสนับสนุนจากวุฒิสภา และพรรคอนุรักษนิยมทั้งหลาย และพรรคเพื่อไทยอาจถึงขั้นไปเข้าร่วมกับพรรคอื่นๆ หากว่านายพิธา ล้มเหลวในการจัดตั้งรัฐบาล
"สืบเนื่องจากเก้าอี้ ส.ส.ที่พรรคเพื่อไทยมีอยู่ ในสมการทางการเมือง รัฐบาลที่ปฏิบัติหน้าที่ได้จำเป็นต้องมีพรรคเพื่อไทยรวมอยู่ด้วย" เจแปนไทม์ส อ้างความเห็นของ ณพล จาตุศรีพิทักษ์ นักวิจัยจากสถาบันเอเชียอาคเนย์ศึกษา ยูซุฟ อิสฮัค (ISEAS Yusof-Ishak Institute) ที่ตั้งอยู่ในสิงคโปร์ "แต่ในทางกลับกัน ไม่อาจพูดแบบเดียวกันสำหรับพรรคก้าวไกล ซึ่งมีความยืดหยุ่นน้อยกว่า"
(ที่มา : บลูมเบิร์ก/เจแปนไทม์ส)