รอยเตอร์ - กลุ่มสิทธิมนุษยชนออกรายงาน ระบุว่า จีนในยุค "สี จิ้นผิง" ใช้คำสั่งห้ามออกนอกประเทศมากขึ้น ซึ่งรวมถึงผู้บริหารต่างชาติ สวนทางกับการป่าวประกาศเปิดประเทศรับธุรกิจหลังใช้มาตรการคุมเข้มสกัดโควิดมา 3 ปี
รายงานของกลุ่มสิทธิมนุษยชน เซฟการ์ด ดีเฟนเดอร์ ระบุว่า คนจีนและต่างชาติจำนวนมากถูกห้ามเดินทางออกนอกจีน ขณะที่การวิเคราะห์ของสำนักข่าวรอยเตอร์พบว่า มีคดีความเกี่ยวกับคำสั่งนี้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และกลุ่มล็อบบี้ทางธุรกิจของต่างชาติกำลังกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มนี้
ลอรา ฮาร์ธ ผู้อำนวยการโครงการของเซฟการ์ดชี้ว่า นับจากสี จิ้นผิง รับตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2012 จีนได้ขยายขอบเขตทางกฎหมายสำหรับการห้ามเดินทางออกนอกประเทศและมีการบังคับใช้มากขึ้น ซึ่งบางครั้งเป็นการบังคับใช้นอกหลักการกฎหมาย โดยนับจากปี 2018 มีกฎหมายใหม่ๆ หรือกฎหมายที่แก้ไขเพื่อรองรับการห้ามเดินทางออกนอกประเทศไม่น้อยกว่า 5 ฉบับ รวมทั้งหมดจนถึงขณะนี้มีทั้งสิ้น 15 ฉบับ
เซฟการ์ดประเมินว่า มีคนจีนนับหมื่นถูกห้ามออกนอกประเทศในช่วงเวลาหนึ่ง และยังอ้างอิงเอกสารทางวิชาการในปี 2022 ของคริส คาร์ และแจ็ค โรลด์เซน ที่พบว่า ระหว่างปี 1995-2019 มีกรณีที่ชาวต่างชาติถูกห้ามเดินทางออกจากจีน 128 กรณี ซึ่งรวมถึงคนอเมริกัน 29 คน และแคนาดา 44 คน
เรื่องนี้กลายเป็นที่สนใจขณะที่ความสัมพันธ์จีน-อเมริกาตึงเครียดมากขึ้นจากกรณีขัดแย้งทางการค้าและความมั่นคง และสิ่งที่เกิดขึ้นตรงข้ามกับข้อความที่จีนป่าวประกาศว่า กำลังเปิดประเทศรับการลงทุนและการเดินทางจากต่างชาติ หลังยุติการโดดเดี่ยวตัวเองด้วยมาตรการสกัดโควิดที่เข้มงวดที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
การวิเคราะห์บันทึกการห้ามเดินทางออกนอกประเทศของรอยเตอร์ที่มาจากฐานข้อมูลศาลสูงสุดของจีน พบว่า มีคดีเกี่ยวกับคำสั่งแบนนี้เพิ่มขึ้นถึง 8 เท่าระหว่างปี 2016-2022
สัปดาห์ที่แล้วจีนยกระดับกฎหมายต่อต้านการสอดแนม อนุญาตให้ใช้คำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศกับทุกคนที่อยู่ภายใต้การสอบสวน ไม่ว่าจะเป็นคนจีนหรือต่างชาติก็ตาม
คดีส่วนใหญ่ในฐานข้อมูลอ้างอิงถึงการห้ามออกนอกประเทศว่าเป็นคดีแพ่ง ไม่ใช่คดีอาญา และรอยเตอร์ไม่พบว่า เกี่ยวข้องกับต่างชาติ หรือประเด็นการล้มล้างทางการเมืองหรือความมั่นคงแห่งชาติ
เปรียบเทียบกับอเมริกาและสหภาพยุโรป (อียู) ที่ใช้คำสั่งแบนการเดินทางกับผู้ต้องสงสัยคดีอาญา และโดยทั่วไปจะไม่ใช้ในข้อร้องเรียนทางแพ่ง
หนึ่งในบุคคลที่ถูกห้ามไม่ให้เดินทางออกจากจีนในปีนี้คือผู้บริหารสิงคโปร์ของมินตซ์ บริษัทตรวจสอบสถานะของอเมริกา ซึ่งเปิดเผยเมื่อปลายเดือนมีนาคมว่า เจ้าหน้าที่บุกตรวจสำนักงานของบริษัทในจีนและควบคุมตัวพนักงานท้องถิ่น 5 คน ตอนนั้นกระทรวงต่างประเทศจีนระบุว่า มินตซ์ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจผิดกฎหมาย
สัปดาห์ที่แล้ว เบน แอนด์ โค บริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารของอเมริกา เผยว่า ตำรวจจีนไปที่สำนักงานของบริษัทในเซี่ยงไฮ้ และซักถามพนักงานหลายคน
เลสเลอร์ รอสส์ ประธานคณะกรรมการนโยบายจีนของหอการค้าอเมริกัน อีกทั้งยังเป็นทนายความที่คร่ำหวอดในจีนและทำคดีเกี่ยวกับการแบนการเดินทางออกนอกจีน กล่าวว่า บริษัทและนิติบุคคลมากมายกังวลเรื่องนี้ และขอคำแนะนำในการเตรียมพร้อมและลดความเสี่ยงจากการถูกแบน
ธุรกิจต่างชาติยังกังวลกับการตรวจสอบและความคลุมเครือของกฎหมายต่อต้านการสอดแนม ซึ่งอนุญาตให้ห้ามการเดินทางออกนอกประเทศกับผู้ใดก็ตามที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงหรือทำลายผลประโยชน์ของจีน
หอการค้าอียูกล่าวกับรอยเตอร์ว่า ขณะที่จีนพยายามฟื้นความเชื่อมั่นทางธุรกิจเพื่อดึงดูดการลงทุนต่างชาติ การห้ามเดินทางออกนอกประเทศกลับส่งสัญญาณที่ขัดแย้ง
จากรายงานของเซฟการ์ด ผู้ที่ถูกห้ามออกนอกจีนมีทั้งคนจีนที่เกี่ยวข้องกับข้อขัดแย้งทางการเงิน ผู้รณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชน นักเคลื่อนไหว และทนายความ ชนกลุ่มน้อย เช่น ชาวอุยกูร์ในซินเจียง
เซฟการ์ดอ้างอิงรายงานของศาลที่ระบุว่า มีประชาชน 34,000 คนถูกห้ามออกนอกจีนระหว่างปี 2016-2018 จากการเป็นหนี้ เพิ่มขึ้น 55% จากช่วงปี 2013-2016
เซียง หลี่ นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนที่ถูกห้ามออกนอกจีน 2 ปีก่อนหนีออกนอกประเทศในปี 2017 และต่อมาได้ลี้ภัยในอเมริกา ชี้ว่า การใช้คำสั่งห้ามออกนอกจีนอย่างกว้างขวางสะท้อนมาตรการความมั่นคงที่เข้มงวดขึ้นภายใต้ยุคสมัยของสี และเสริมว่า ทางการจีนสามารถหาเหตุผลใดๆ ก็ตามเพื่อขัดขวางการออกนอกประเทศ และสำทับว่า จีนไม่มีหลักนิติธรรม แต่กฎหมายถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ของพรรคคอมมิวนิสต์