กองทัพรัสเซียสาดขีปนาวุธเข้าถล่มเมืองต่างๆ ทั่วยูเครนเมื่อช่วงเช้ามืดของวันศุกร์ (28 เม.ย.) ในขณะที่ผู้คนกำลังหลับใหล เบื้องต้น มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 12 ราย และนับเป็นการโจมตีทางอากาศครั้งรุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 2 เดือน
การจู่โจมครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่กองทัพยูเครนกำลังเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดปฏิบัติการโจมตีตอบโต้และทวงคืนดินแดนจากรัสเซียในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ในเมืองอูมาน (Uman) ทางตอนกลางของยูเครน เจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องต่อสู้กับไฟที่โหมลุกไหม้อพาร์ตเมนต์ซึ่งโดยขีปนาวุธรัสเซียยิงถล่มที่ชั้นบน โดยในจุดนี้พบผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 10 คน บาดเจ็บอีก 17 คน ตามรายงานของ อิฮอร์ คลีเมนโก (Ihor Klymenko) รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยยูเครน
“ตอนแรกกระจกแตกก่อน แล้วก็มีระเบิดตามมา...ทุกอย่างกระจายปลิวว่อน” โอลกา (Olga) หนึ่งในชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์บอกกับผู้สื่อข่าว
ส่วนที่เมืองดนีโปร (Dnipro) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของยูเครน เซียร์ฮี ลีซาก (Serhiy Lysak) ผู้ว่าการประจำภูมิภาค ระบุว่ามีขีปนาวุธลูกหนึ่งตกเข้าใส่บ้านเรือนประชาชน ส่งผลให้หญิงวัย 31 ปี และเด็กอายุ 2 ขวบอีกคนเสียชีวิต และยังมีผู้คนบาดเจ็บอีกไม่ต่ำกว่า 3 คน
พื้นที่กรุงเคียฟก็มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นหลายจุด โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่า หน่วยป้องกันภัยทางอากาศสามารถยิงทำลายขีปนาวุธไปได้ 11 ลูก และอากาศยานไร้คนขับอีก 2 ลำ
กองทัพยูเครนระบุว่า พวกเขาสามารถยิงสกัดขีปนาวุธร่อนของรัสเซียเอาไว้ได้ 21 ลูก จากทั้งหมด 23 ลูก
“การก่อการร้ายของรัสเซียจะต้องเผชิญการตอบโต้อย่างสาสมจากยูเครนและทั่วโลก” ประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน แถลงผ่านเพจ Telegram พร้อมกับโพสต์ภาพความสูญเสียที่เกิดขึ้น
จนถึงขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าเป้าหมายในการโจมตีวันนี้ (28) คืออะไรกันแน่ ทว่าตลอดช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมารัสเซียมักจะเน้นยิงถล่มโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าของยูเครน โดยมีปฏิบัติการโจมตีลักษณะนี้เกือบทุกๆ สัปดาห์ ก่อนจะสร่างซาลงไปบ้างเมื่อหมดฤดูหนาว
บรรดาชาติตะวันตกเชื่อว่า รัสเซียใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลไปแทบจะหมดคลังแสง แต่ก็ไม่สามารถ “แช่แข็ง” เมืองต่างๆ ของยูเครนได้สำเร็จดังที่หวัง
แม้รัสเซียจะอ้างว่าไม่เคย “มีเจตนา” ยิงโจมตีพลเรือนยูเครน แต่ทั้งขีปนาวุธและปืนใหญ่ที่สาดถล่มเข้ามาก็ทำให้ชาวยูเครนเสียชีวิตไปแล้วหลายพันคน และยังทำให้อาคารบ้านเรือนในเมืองต่างๆ พังพินาศ
รัฐบาลเคียฟชี้ว่า การที่รัสเซียยิงถล่มเมืองซึ่งอยู่ห่างจากแนวหน้าไม่ได้ช่วยให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายทางทหาร หากแต่เป็นการจงใจข่มขู่และเข่นฆ่าพลเรือนยูเครน และถือเป็นอาชญากรรมสงคราม
ที่มา : รอยเตอร์