องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศเตือน “ความเสี่ยงทางชีวภาพขั้นร้ายแรง” หลังห้องปฏิบัติการสาธารณสุขแห่งชาติ (National Public Health Laboratory) ในกรุงคาร์ทูมของซูดานถูกทหารฝ่ายหนึ่งบุกยึด ซึ่งทำให้ผู้เชี่ยวชาญเกรงว่าเชื้อโรคร้ายแรงและไวรัสต่างๆ ภายในห้องแล็บอาจรั่วไหลออกสู่ภายนอก
ผู้สื่อข่าว CNN รายงานว่า เสียงปืนและเครื่องบินขับไล่กลับมาดังสนั่นในกรุงคาร์ทูมอีกครั้งเมื่อวานนี้ (25 เม.ย.) หลังจากที่กองทัพซูดาน (SAF) และกองกำลังสนับสนุนเคลื่อนที่เร็ว (RSF) ซึ่งเป็นกองกำลังกึ่งทหาร ได้ประกาศข้อตกลงหยุดยิง 72 ชั่วโมงผ่านไปได้เพียงครึ่งวัน
ทหารทั้ง 2 ฝ่ายต่างกล่าวโทษซึ่งกันและกันว่าเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงก่อน
ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุสู้รบในซูดานซึ่งปะทุขึ้นเมื่อ 11 วันที่แล้วอยู่ที่ 459 ราย ขณะที่ WHO ระบุว่า ยังมีประชาชนบาดเจ็บอีกไม่น้อยกว่า 4,072 คน
เจ้าหน้าที่การแพทย์ระดับสูงคนหนึ่งให้ข้อมูลกับ CNN ว่า ห้องปฏิบัติการสาธารณสุขแห่งชาติซูดานซึ่งมีการเก็บตัวอย่างเชื้อโรคและวัตถุทางชีวภาพต่างๆ ไว้ ได้ถูกกองกำลัง RSF บุกยึด และแม้ WHO จะไม่ได้ตำหนิเรื่องการยึดห้องแล็บโดยตรง แต่ก็เตือนว่าสถานการณ์เช่นนี้ทำให้ห้องปฏิบัติการปราศจากนักเทคนิคการแพทย์คอยควบคุมดูแล
นีมา ซาอีด อาบิด (Nima Saeed Abid) ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำซูดาน เอ่ยถึงความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นว่า “เป็นสิ่งที่อันตรายมาก เพราะเรามีทั้งเชื้อโปลิโอ เชื้อไข้หวัดใหญ่ เชื้ออหิวาตกโรค ที่ถูกเพาะแยกเอาไว้ในห้องแล็บแห่งนี้”
“การที่กองกำลังซึ่งสู้รบกันอยู่เข้ามายึดห้องปฏิบัติการสาธารณสุขในคาร์ทูม จึงอาจก่อความเสี่ยงทางชีวภาพสูงมาก”
WHO ระบุในคำแถลงที่ส่งถึง CNN ว่า “เวลานี้นักเทคนิคการแพทย์ที่ผ่านการฝึกอบรมไม่สามารถเข้าถึงห้องแล็บได้” มิหนำซ้ำยังเกิดปัญหาไฟฟ้าดับ ซึ่งส่งผลให้ “การจัดการวัสดุชีวภาพที่ถูกเก็บไว้ในห้องแล็บเพื่อจุดประสงค์ทางการแพทย์ไม่สามารถกระทำได้อย่างเหมาะสม”
ผู้อำนวยการห้องแล็บแห่งนี้เตือนว่า การที่ไฟฟ้าดับยังเสี่ยงที่จะทำให้ถุงบรรจุเลือดเกิดการเน่าเสียอีกด้วย
แหล่งข่าวการแพทย์อีกคนบอกกับ CNN ว่า “จุดที่อันตรายที่สุดคือ อาจจะเกิดการสู้รบขึ้นบริเวณห้องปฏิบัติการ ซึ่งจะทำให้มันกลายสภาพเป็นระเบิดเชื้อโรค (germ bomb) ไปโดยปริยาย”
แหล่งข่าวยังเรียกร้องให้นานาชาติรีบเข้าแทรกแซงเพื่อฟื้นฟูการจ่ายกระแสไฟฟ้า และปกป้องห้องปฏิบัติการทางชีวภาพแห่งนี้ให้ปลอดภัยจากการสู้รบ
ที่มา : CNN