นานาชาติเร่งอพยพเจ้าหน้าที่และพลเมืองออกจากเมืองหลวงคาร์ทูม ในวันจันทร์ (24 เม.ย.) ท่ามกลางสงครามนองเลือดระหว่างกองทัพและกองกำลังกึ่งทหารที่ระอุทั่วทั้งประเทศซูดาน ทำให้ประชาชนล้มตายไปกว่า 400 คน ตามตัวเลขที่ยูเอ็นรายงานออกมา และนำไปสู่วิกฤตมนุษยธรรมครั้งเลวร้าย
ความรุนแรงที่ยืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 10 ในประเทศใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกาแห่งนี้ ระเบิดขึ้นอย่างทันทีทันใดโดยเป็นการสู้รบระหว่างกองทัพ กับ กองกำลังสนับสนุนเคลื่อนที่เร็ว (อาร์เอสเอฟ) ที่เป็นกองกำลังกึ่งทหารของซูดานเมื่อวันที่ 15 ที่ผ่านมา ยังส่งผลให้ประชาชนนับล้านขาดแคลนน้ำ อาหาร ยา เชื้อเพลิง ไฟฟ้าอย่างรุนแรง ขณะที่นักการทูต เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ นักศึกษา และครอบครัวชาวต่างชาติหลายหมื่นคนติดอยู่ในเขตสงครามตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว
หน่วยงานต่างๆ ของสหประชาชาติ เผยว่า มีผู้เสียชีวิตจากการสู้รบอย่างน้อย 427 คนแล้ว และบาดเจ็บอีกกว่า 3,700 คน ขณะที่ชาวซูดานในพื้นที่สู้รบพากันหนีเอาชีวิตรอดโดยมุ่งหน้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นชาด อียิปต์ และซูดานใต้ เป็นต้น
มีรายงานว่า เครื่องบินขับไล่ถูกส่งออกมาทิ้งระเบิดถล่มกรุงคาร์ทูม โดยสนามบินหลักกลายเป็นศูนย์กลางการสู้รบ และการระดมยิงด้วยปืนใหญ่ ทำให้การเดินทางเข้าออกจากหนึ่งในเมืองใหญ่ที่สุดของแอฟริกาแห่งนี้ อันตรายอย่างยิ่ง นักการทูตกลายเป็นเป้าหมายการโจมตี และเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์อย่างน้อย 5 คนถูกสังหาร สถานการณ์เช่นนี้ทำให้หลายประเทศใช้วิธีอพยพผู้คนทางบกแทน
แม้ถูกกดดันจากนานาชาติที่กังวลว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจะส่งผลกระทบลุกลามและเป็นอันตรายต่อพลเมืองของตน แต่ทั้งกองทัพและอาร์เอสเอฟต่างเพิกเฉยต่อข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราว
อย่างไรก็ตาม การสู้รบในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังสงบลงเพียงพอที่อเมริกาจะนำเฮลิคอปเตอร์ทหารเข้าไปอพยพพวกเจ้าหน้าที่ในสถานเอกอัครราชทูตของตนออกจากคาร์ทูมเมื่อวันอาทิตย์ (23) และกระตุ้นให้ประเทศต่างๆ เร่งอพยพพลเมืองของตนเช่นเดียวกัน
รอยเตอร์รายงานว่า ขบวนรถที่นำพลเมืองต่างประเทศอพยพ อย่างน้อย 2 ขบวนถูกโจมตี ซึ่งรวมถึงขบวนรถขนเจ้าหน้าที่สถานทูตกาตาร์ และอีกขบวนที่มีพลเมืองฝรั่งเศสที่มีผู้บาดเจ็บ 1 คน
ฝรั่งเศสและเยอรมนีแถลงเมื่อวันจันทร์ (24) ว่า ได้อพยพประชาชนราว 700 คนออกจากซูดาน และเครื่องบินของกองทัพเยอรมนีลำหนึ่งนำผู้อพยพลงจอดในเบอร์ลินเมื่อเช้าวันจันทร์
หลายประเทศพากันส่งเครื่องบินทหารจากจิบูตี ไปรับพลเมืองของตนออกจากคาร์ทูม ขณะที่บางประเทศอพยพพลเมืองด้วยขบวนรถจากคาร์ทูมไปพอร์ตซูดานที่มีระยะทางราว 800 กิโลเมตร และอาจลงเรือต่อไปซาอุดีอาระเบีย
จีน เดนมาร์ก เลบานอน เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และสวีเดน เผยว่า ได้จัดการอพยพพลเมืองออกจากซูดานเช่นเดียวกัน ส่วนญี่ปุ่นกำลังเตรียมส่งทีมอพยพจากจิบูตี
แหล่งข่าวทางการทูตเผยว่า ขบวนที่ประกอบด้วยรถราว 65 คัน อพยพเจ้าหน้าที่ยูเอ็น องค์การพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) และเจ้าหน้าที่สถานทูตและครอบครัวราว 700 คนออกจากคาร์ทูมไปพอร์ตซูดาน เมื่อวันอาทิตย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการอพยพ
แหล่งข่าวรายหนึ่งเผยว่า นานาชาติกำลังเร่งอพยพเจ้าหน้าที่จากภูมิภาคดาร์ฟูร์ทางตะวันตกของซูดานที่มีการสู้รบดุเดือดเช่นเดียวกัน โดยมุ่งหน้าสู่ชาด และซูดานใต้
การสู้รบในซูดานทำให้โรงพยาบาลส่วนใหญ่ต้องปิดให้บริการ เช่นเดียวกับน้ำประปาและไฟฟ้า การสังหารเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ 3 คนขององค์การอาหารโลก ทำให้หน่วยงานในสังกัดยูเอ็นแห่งนี้ต้องระงับปฏิบัติการในซูดาน ซึ่งประชาชน 1 ใน 4 ของประเทศพึ่งพิงความช่วยเหลือด้านอาหารจากนานาชาติ
ทั้งนี้ กองทัพซูดานที่นำโดยผู้บัญชาการทหารบก อับเดล ฟัตเตาะห์ อัล-เบอร์ฮัน และอาร์เอสเอฟ ที่นำโดย โมฮัมเหม็ด ฮัมดัน ดาโกล และเป็นผู้ช่วยของ อัล-เบอร์ฮัน ได้ร่วมกันทำรัฐประหารในปี 2021 แต่นายพลทั้งสองกลับแตกคอกันระหว่างการเจรจาเพื่อร่วมจัดตั้งรัฐบาลพลเรือน ตลอดจนการนำเอาอาร์เอสเอฟมารวมเข้ากับกองทัพ หลังจาก 4 ปีที่ผู้นำเผด็จการ โอมาร์ อัล-บาชีร์ ถูกโค่นล้ม
การเป็นปฏิปักษ์ของทั้งสองฝ่ายนี้เพิ่มความเสี่ยงที่ความขัดแย้งอาจลุกลามและดึงมหาอำนาจภายนอกเข้าแทรกแซง
นอกจากในคาร์ทูมแล้ว ยังมีรายงานล่าสุดจากยูเอ็นว่า ชาวซูดานหนีการสู้รบในหลายภูมิภาคซึ่งรวมถึง 3 รัฐในดาร์ฟูร์ บลูไนล์ที่อยู่ติดกับเอธิโอเปีย และซูดานใต้ และรัฐนอร์ทคอร์โดฟาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของคาร์ทูม
(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์)