อิหร่านในวันพฤหัสบดี (20 เม.ย.) เผยเป็นฝ่ายบีบกดดันจนเรือดำน้ำลำหนึ่งของสหรัฐฯ ต้องโผล่ขึ้นพื้นผิวระหว่างที่ดำผ่านช่องแคบฮอร์มุซ เส้นทางสัญจรยุทธศาสร์ในอ่าวเปอร์เซีย คำกล่าวอ้างที่อเมริการุดออกมาปฏิเสธ
พลเรือเอกชาห์ราม ไอรานี ผู้บัญชาการกองทัพเรืออิหร่าน บอกกับสถานีโทรทัศน์แห่งรัฐ ว่า เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ยูเอสเอส ฟลอริดา ของสหรัฐฯ "ดำใกล้เข้าหาและดำผ่านไปอย่างเงียบๆ" ตอนที่เรือดำน้ำลำนี้ล่วงล้ำเข้าสู่น่านน้ำของอิหร่านเป็นบางส่วน
ผู้บัญชาการกองทัพเรืออิหร่าน เผยต่อว่า จากนั้นเรือดำน้ำลำหนึ่งของอิหร่านบีบให้เรือดำน้ำของสหรัฐฯ โผล่ขึ้นผิวข้ามแล้วเล่นผ่านช่องแคบไป พร้อมระบุเตหะรานจะหยิบยกประเด็นนี้พูดคุยกับพวกเจ้าหน้าที่ระหว่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม กองเรือที่ 5 แห่งกองทัพเรือสหรัฐฯ ซึ่งมีฐานอยู่ในบาห์เรน ระบุว่า คำกล่าวอ้างดังกล่าว "เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง" และ "เป็นตัวแทนของการบิดเบือนข้อมูลของอิหร่านอีกครั้งหนึ่ง กองเรือที่ 5 ยังคงเดินหน้าปฏิบัติการใดก็ตามที่กฎหมายระหว่างประเทศอนุญาต"
เมื่อเดือนมิถุนายนปีก่อน กองทัพเรือสหรัฐฯ กล่าวว่าเรืออิหร่าน 3 ลำ มีปฏิกิริยาตอบโต้ในแนวทางที่ไม่ปลอดภัยและไม่เป็นมืออาชีพ ต่อเรือของพวกเขาที่ล่องผ่านช่องแคบดังกล่าว
ความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันกับเตหะรานตึงเครียดยิ่งขึ้น หลังจากเหตุปฏิวัติอิหร่านปี 1979 ที่หนุนหลังโดยสหรัฐฯ โค้นล้มพระเจ้าชาห์ (โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี) และนำมาซึ่งระบอบการปกครองอิสลาม ภายใต้ อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี ผู้นำสูงสุด
ทั้ง 2 ชาติตัดขาดความสัมพันธ์กัน หลังจากนักศึกษาหัวรุนแรงที่ต้องการให้สหรัฐฯ ส่งตัวพระเจ้าชาห์ กลับประเทศในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน บุกจับนักการทูตและเจ้าหน้าที่ 52 คนของสถานทูตอเมริกา ประจำเตหะราน เป็นตัวประกันและควบคุมตัวพวกเขาไว้เป็นเวลา 444 วัน
วอชิงตันกล่าวหากองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าก่อความวุ่นวายด้านการสัญจรทางทะเลในน่านน้ำยุทธศาสตร์อ่าวเปอร์เซีย จุดผ่านอันติดขัด ซึ่งเป็นเส้นทางผ่านของน้ำมันปริมาณราวๆ 1 ใน 5 ของโลก
ในเดือนมกราคม 2020 อิหร่านเล็งเป้าเล่นงานกองกำลังสหรัฐฯ ณ ฐานทัพอิน อัล-อัสซาด ในจังหวัดอันบาร์ของอิรัก ไม่กี่วันหลังจากโดรนลำหนึ่งโจมตีสนามบินแบกแดด สังหาร พลเอกกัสเซ็ม สุไลมานี ผู้บัญชาการหน่วยรบพิเศษคุดส์ ของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามอิหร่าน และอาบู มาห์ดี อัล-มูฮันดิส นายทหารระดับสูงของอิรัก
(ที่มา : เอเอฟพี)