ราคาน้ำมันขยับลงราว 2 ดอลลาร์ แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมในวันพฤหัสบดี (20 เม.ย.) พบคลังปิโตรเลียมสำรองสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ท่ามกลางความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยกัดเซาะอุปสงค์พลังงาน ส่วนวอลล์สตรีทปิดลบตามหลังรายงานผลประกอบการน่าผิดหวัง ขณะที่ทองคำยังคงแกว่งตัวเหนือ 2,000 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม ลดลง 1.87 ดอลลาร์ ปิดที่ 77.29 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน ลดลง 2.02 ดอลลาร์ ปิดที่ 81.10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ก่อนหน้านี้ตลาดน้ำมันทั้ง 2 สัญญาขยับลง 2% ในวันพุธ (19 เม.ย.) แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่โอเปกพลัส สร้างความประหลาดใจด้วยออกถ้อยแถลงปรับลดกำลังผลิตเพิ่มเติม
สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานแห่งสหรัฐฯ (อีไอเอ) รายงานว่าคลังน้ำมันดิบสำรองของประเทศ เพิ่มขึ้นผิดคาด 1.3 ล้านบาร์เรลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เป็น 223.5 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ รายงานยังพบอุปสงค์เบนซินลดลง 3.9% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สู่ระดับ 8.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะเดียวกันแม้คลังน้ำมันดิบสำรองจะลดลงถึง 4.6 ล้านบาร์เรล แต่พวกนักวิเคราะห์มองว่ามันน่าจะป็นการลดลงแค่ในระยะสั้นเท่านั้น
จำนวนผู้เข้ารับสวัสดิการคนว่างงานรายใหม่รายสัปดาห์ของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในสัปดาห์ที่แล้ว บ่งชี้ว่าตลาดแรงงานกำลังชะลอตัว ตามหลังขวบปีของการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โหมกระพือความกังวลต่ออุปสงค์ทางพลังงาน
ด้านราคาทองคำในวันพฤหัสบดี (20 เม.ย.) ปิดบวกและยังคงอยู่ในระดับเหนือ 2,000 ดอลลาร์ นักลงทุนจับตาแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่เฟดเดินหน้าความพยายามควบคุมเงินเฟ้อ โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 11.80 ดอลลาร์ ปิดที่ 2,019.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบในวันพฤหัสบดี (20 เม.ย.) ตามแรงฉุดของรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทต่างๆ อย่างเช่นเทสลาและเอทีแอนด์พี ขณะที่นักลงทุนกำลังมองหาความชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
ดาวโจนส์ ลดลง 110.39 จุด (0.33 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 33,786.62 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 24.73 จุด (0.60 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,129.79 จุด แนสแดค ลดลง 97.67 จุด (0.80 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 12,059.56 จุด
หุ้นของเทสลาดิ่งลง 9.7% หลังผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแห่งนี้มีอัตรากำไรขั้นต้นรายไตรมาส ต่ำที่สุดในรอบ 2 ปี และส่งสัญญาณว่าจะยังคงเดินหน้าปรับลดราคารถยนต์ ส่วนหุ้นของเอทีแอนด์ที ขยับลง 10.4% หลังบริษัทโทรคมนาคมแห่งนี้มีรายได้ไตรมาสแรกและกระแสเงินสดอิสระต่อกิจการไม่เป็นไปตามที่ตลาดคาดหมาย
การดีดตัวขึ้นของเอสแอนด์พี 500 นับตั้งแต่ต้นปี กำลังถูกทดสอบจากรายงานผลประกอบการไตรมาสแรก ซึ่งพวกนักลงทุนคาดหมายว่าจะออกมาซึมเซา จนถึงตอนนี้พวกนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงคาดการณ์ไปในทิศทางเกี่ยวกับสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยคาดว่าบรรดาบริษัทต่างๆ ในเอสแอนด์พี 500 จะมีกำไรรายไตรมาสลดลงเกือบ 5% เมื่อเทียบเป็นรายปี
(ที่มา : รอยเตอร์)