เอเจนซีส์ - สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงถวายของขวัญล้ำค่าประเมินค่าไม่ได้เป็นชิ้นส่วนจากไม้กางเขนที่ตรึงพระเยซูจนสิ้นพระชนม์ จำนวน 2 ชิ้น จากวาติกันแด่พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ในโอกาสการขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่แห่งสหราชาอาณาจักรอังกฤษ ซึ่งจะถูกใช้ในวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ที่จะถึงในต้นเดือนหน้า
เดลีเอ็กซเพรสของอังกฤษรายงานวานนี้ (19 เม.ย.) ว่า กลายเป็นที่ฮือฮาไปทั่ว หลังสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส แห่งนครรัฐวาติกันได้ทรงถวายชิ้นส่วนจากไม้กางเขนที่ตรึงพระเยซูเจ้า ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ จนสิ้นพระชนม์ชีพบนไม้กางเขนนี้ ซึ่งขึ้นชื่อกันว่าเป็น ไม้กางเขนจริง เพื่อเป็นของขวัญแด่พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ในโอกาสการขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์อังกฤษพระองค์ใหม่ต่อจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอารณาจักรอังกฤษ
โดยตามการรายงานพบว่า โป๊ปทรงถวายชิ้นส่วนไม้กางเขนจริง จำนวน 2 ชิ้น ที่เป็นไม้ซึ่งชิ้นแรกมีขนาด 1 เซนติเมตร และอีกชิ้นขนาด 0.5 เซนติเมตร ที่ถูกอัญเชิญประดับอยู่บนไม้กางเขนแห่งเวลส์ (Cross of Wales) สื่ออังกฤษชี้ว่า เป็นของขวัญส่วนพระองค์ของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสจัดถวาย
ซึ่งกางเขนแห่งเวลส์นี้เป็นของขวัญพระราชทานจากกษัตริย์อังกฤษให้แก่ศาสนาคริสต์นิกายแองกลิคัน Church of Wales เมื่อปี 2021 เพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 100 ปี
ดิอินดีเพนเดนท์ของอังกฤษรายงานเพิ่มเติมว่า ชิ้นส่วนจากไม้กางเขนพระเยซูนี้มีรูปร่างเป็นไม้กางเขนขนาดเล็ก 2 ชิ้นขนาดต่างกันและถูกประดับไว้บนไม้กางเขนแห่งเวลส์ที่ทำมาจากกระสุนเงินที่ผ่านการใช้งาน โดยไม้กางเขนแห่งเวลส์ที่มีชิ้นส่วนไม้กางเขนพระเยซูผ่านการทำพิธีเพื่อเป็นสิริมงคลโดยอาร์กบิชอบแห่งเวลส์ แอนดรูว์ จอห์น (Andrew John) ภายในโบสถ์ โฮลี ทรินนิตี (Holy Trinity Church) ในวันพุธ (19) ก่อนมุ่งหน้าไปกรุงลอนดอน
อาร์กบิชอปแห่งโรมันคาทอลิกแห่งคาร์ดิฟฟ์ (Cardiff) และบิชอปแห่งเมเนเวีย (Menevia) มาร์ค โอ’ทูล (Mark O’Toole) แสดงความเห็นในเรื่องนี้ถึงการนำไม้กางเขนแห่งเวลส์ที่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนของไม้กางเขนพระเยซูที่จะถูกใช้นำในพิธีบรมราชาภิเษกว่า
“มันไม่ใช่แค่เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่ารากของศาสนาคริสต์ที่หยั่งลึกลงในประเทศของเราเท่านั้น แต่ผมมั่นใจว่ามันจะช่วยเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเราทุกคนต่อตัวอย่างการใช้ชีวิตของพวกเราที่มาจากความรักของพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเรา พระเยซูเจ้า”