(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.asiatimes.com)
Macron has no interest in ‘decoupling’ from China
By SCOTT FOSTER
10/04/2023
ประธานาธิบดีฝรั่งเศสนำเอาเรื่องธุรกิจขึ้นมาพิจารณาก่อนเรื่องการเมือง ระหว่างการเดินทางไปเยือนปักกิ่งของเขาเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งทำให้แดนน้ำหอมบรรลุข้อตกลงใหญ่ๆ ใหม่ๆ ทั้งสำหรับแอร์บัส และบริษัทแดนน้ำหอมรายอื่นๆ
ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ซึ่งเดินทางไปจีนเมื่อไม่นานมานี้ และได้รับการต้อนรับอย่างให้เกียรติสูงยิ่งเนื่องจากไปในฐานะเป็นแขกของประมุขแห่งรัฐ (state visit) กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง (ในโลกตะวันตก) ในข้อหาว่าเขาประสบความล้มเหลวจากการไม่สามารถผลักดันให้เกิดความคืบหน้าในเรื่องสันติภาพในยูเครน อย่างไรก็ดี บางทีมันอาจเป็นเพราะเรื่องนี้ มาครงไม่ได้จัดให้เป็นเรื่องลำดับความสำคัญสูงสุดในกำหนดการที่เขาจะทำในปักกิ่งมาตั้งแต่แรก
ทริปเดินทางที่ได้รับความสนใจกลายเป็นข่าวเกรียวกราวทริปนี้ ได้ทำให้เกิดข้อตกลงระหว่างฝ่ายจีนกับฝ่ายฝรั่งเศสหลายๆ ฉบับ ซึ่งเป็นการขยายธุรกิจของแอร์บัส ตลอดจนพวกบริษัทฝรั่งเศสในประเทศจีน ถือได้ว่าเป็นพัฒนาการที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจของฝรั่งเศส และแนวทางการทูตที่เป็นอิสระของฝรั่งเศส ตลอดจนกลายเป็นความเพลี่ยงพล้ำครั้งสำคัญสำหรับบริษัทโบอิ้งของสหรัฐฯ และความพยายามของทางการวอชิงตันที่มุ่งขัดขวางวาดหวังทำให้จีนตกอยู่ในอาการเดี้ยง (ทั้งทางการทูตและทางเศรษฐกิจ)
กีโยม โฟรี (Guillaume Faury) ซีอีโอของแอร์บัส 1 ในผู้บริหารธุรกิจชาวฝรั่งเศสราว 60 คนที่ร่วมอยู่ในคณะเยือนจีนของ มาครง คราวนี้ ได้ลงนามในข้อตกลงฉบับหนึ่งกับ บริษัทการลงทุนเขตการค้าเสรีนครเทียนจิน (Tianjin Free Trade Zone Investment Company) และบรรษัทอุตสาหกรรมการบินแห่งประเทศจีน (Aviation Industry Corporation of China) เพื่อจัดตั้งสายการประกอบเครื่องบินแอร์บัส เอ320 สายที่ 2 ขึ้นในเมืองเทียนจิน โดยที่พิธีลงนามซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายนที่ผ่านมา มีทั้ง มาครง และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ไปเป็นประจักษ์พยาน
เทียนจิน เวลานี้คือ 1 ใน 4 สถานที่ตั้งของสายการประกอบเครื่องบินตระกูลแอร์บัส เอ320 ในขั้นสุดท้ายในทั่วโลก โดยแห่งอื่นๆ ที่เหลือได้แก่ที่เมืองตูลุส ฝรั่งเศส เมืองฮัมบูร์ก เยอรมนี และเมืองโมบิล รัฐแอละแบมา ในสหรัฐฯ โรงงานที่เทียนจินเป็นผู้จัดส่งเครื่องบินแบบเอ320 จำนวนมากกว่า 600 ลำให้แก่ลูกค้าแล้ว นับตั้งแต่เริ่มการดำเนินงานในปี 2008
ขณะที่ตระกูล เอ320 ซึ่งเป็นเครื่องบินโดยสารไอพ่นลำตัวแคบ (มีแถวที่นั่งเพียงตอนเดียว) นั้น มีอยู่ด้วยกันหลายๆ แบบ แอร์บัสเริ่มต้นผลิตออกมาตั้งแต่เมื่อปี 1988 และเวลานี้มียอดขายแซงหน้าคู่แข่งสำคัญอย่างตระกูล 737 ของโบอิ้งไปแล้ว
เครื่องบิน เอ321นีโอ (A321neo) ลำแรกซึ่งประกอบขึ้นในโรงงานที่เทียนจิน เพิ่งถูกนำส่งลูกค้าในเดือนมีนาคม 2023 ที่ผ่านมา และกำลังกลายเป็นการขยายสายผลิตภัณฑ์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เอ321นีโอ คือ แบบที่มีลำตัวยาวที่สุดในบรรดาตระกูล เอ320 ด้วยกัน โดยสามารถบรรจุที่นั่งผู้โดยสารได้ระหว่าง 180-220 ที่นั่ง ในการจัดวางตามปกติธรรมดา
แอร์บัสยังได้ลงนามในข้อตกลงอีกฉบับหนึ่ง กับบริษัทไชน่า เอวิเอชั่น ซัปพลายส์ โฮลดิ้ง คอมพานี (China Aviation Supplies Holding Company หรือ CAS) ในการซื้อขายเครื่องบินโดยสารไอพ่น จำนวน 160 ลำ ดังที่ได้เคยประกาศกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ ข้อตกลงนี้ประกอบด้วย เครื่องบินในตระกูล เอ320 จำนวน 150 ลำ และเครื่องบินลำตัวกว้างแบบ เอ350-900 อีก 10 ลำซึ่ง CAS ได้สั่งซื้อเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
นอกจากนั้น ยังมีความคาดหวังในแง่ดีบางประการในเรื่องที่จีนจะสั่งซื้อเครื่องบินแอร์บัสบรรทุกสินค้า และเครื่องบินโดยสารลำตัวกว้างใช้ในเที่ยวบินระยะไกลเพิ่มเติมขึ้นอีก ทว่าการตัดสินใจได้ถูกเลื่อนออกไปก่อน ระหว่างที่มีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “ความต้องการของสายการบินต่างๆ ของจีน โดยขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวและการพัฒนาของตลาดการขนส่งทางอากาศ ตลอดจนฝูงเครื่องบินของจีน” ทั้งนี้ตามคำแถลงฉบับหนึ่งของทางการผู้เกี่ยวข้อง
ไม่เพียงเท่านั้น แอร์บัสยังได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฉบับหนึ่งกับกลุ่มบริษัทเชื้อเพลิงทางการบินแห่งชาติของประเทศจีน (China National Aviation Fuel Group หรือ CNAF) เพื่อยกระดับความร่วมมือกันในด้านการจัดทำมาตรฐาน การผลิต และการใช้เชื้อเพลิงทางการบินแบบยั่งยืน
เมื่อเดือนกันยายน ปี 2022 ที่ผ่านมา แอร์บัส กับ CNAF ได้ทำความตกลงกันที่จะสนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงทางการบินแบบยั่งยืนในเที่ยวบินต่างๆ ในประเทศจีน เมื่อถึงสิ้นเดือนมีนาคมปีนี้ มี 18 เที่ยวบินดังกล่าวใช้เชื้อเพลิงแบบนี้แล้ว บริษัททั้งสองวาดหวังว่าภายในปี 2030 จะมีการใช้เชื้อเพลิงแบบยั่งยืนคิดเป็นปริมาณ 10% ของการบริโภคเชื้อเพลิงทางการบินทั้งหมดในประเทศจีน
แอร์บัสคาดหมายว่า การสัญจรทางอากาศของจีนจะเติบโตขยายตัวด้วยอัตราเฉลี่ยปีละ 5.3% สำหรับช่วงเวลา 2 ทศวรรษข้างหน้า อันเป็นฝีก้าวที่รวดเร็วกว่าอัตราเติบโตเฉลี่ยของโลกซึ่งอยู่ที่ 3.6% ตามการคำนวณของแอร์บัส อัตราขยายตัวเช่นนี้ควรจะนำไปสู่ดีมานด์ความต้องการได้เครื่องบินจำนวน 8,420 ลำในช่วงเวลาระหว่างตอนนี้ไปจนถึงปี 2041 หรือเท่ากับกว่า 20% ของตัวเลขยอดขายเครื่องบินทั่วโลกสำหรับระยะเดียวกันที่คาดการณ์กันไว้
ณ ตอนสิ้นเดือนมีนาคม 2023 มีเครื่องบินแอร์บัสมากกว่า 2,100 ลำกำลังให้บริการอยู่ในประเทศจีน คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของฝูงเครื่องบินทั้งหมดที่มีอยู่ในแดนมังกร
แอร์บัสปรารถนาที่จะรักษาระดับความเหนือกว่าแบบครอบงำตลาดเช่นนี้เอาไว้ และรัฐบาลสหรัฐฯ ก็กำลังทำทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อช่วยเหลือ ทั้งด้วยการประกาศมาตรการแซงก์ชันทางเศรษฐกิจและการปลุกปั่นให้เกิดความหวาดกลัวโดยอ้างเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ โบอิ้ง ซึ่งเคยมี (และบางทียังอาจจะยังคงมี) ความหวังอย่างสูงในการบุกตลาดจีน เวลานี้กำลังอยู่ในอาการพยายามจนสุดปัญญาแล้วในการแข่งขันต่อสู้กับแอร์บัส
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://asiatimes.com/2023/01/boeing-losing-its-once-firm-grip-on-china/)
ในคณะของ มาครง ทริปนี้ ยังประกอบด้วยผู้บริหารของ บริษัทสาธารณูปโภคด้านไฟฟ้า อีเล็คทริซิตี เดอ ฟรองซ์ (Electricite de France หรือ EDF) บริษัทชำนาญการบริหารจัดการน้ำและน้ำเสีย สุเอซ เอสเอ (Suez SA) บริษัทขนส่งทางเรือ ซีเอ็มเอ ซีจีเอ็ม (CMA CGM) บริษัทผู้ผลิตรถไฟและอุปกรณ์รางรถไฟ อัลสตอม (Alstom) บริษัทเครื่องสำอาง ลอรีอัล (L’Oréal) และอื่นๆ อีกมากมาย
EDF ได้ลงนามในข้อตกลงกับฝ่ายจีน ทั้งเรื่องต่ออายุการจับมือเป็นหุ้นส่วนกับกลุ่มไชน่า เจนเนอรัล นิวเคลียร์ เพาเวอร์ กรุ๊ป (China General Nuclear Power Group) ในด้านการออกแบบ การก่อสร้าง และการดำเนินงานโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ อีกทั้งได้ทำดีลขยายความร่วมมือกับบรรษัทไชน่า เอเนอร์จี อินเวสต์เมนต์ คอร์เพอเรชั่น (China Energy Investment Corporation) ในเรื่องไฟฟ้าพลังลมนอกชายฝั่ง และในการร่วมมือกับบรรษัทสเตท เพาเวอร์ อินเวสต์เมนต์ คอร์เพอเรชั่น ของจีน (China’s State Power Investment Corporation) ในการพัฒนาไฟฟ้าพลังลมบนบก ในมณฑลยูนนาน
สำหรับสุเอซ ได้ลงนามทำข้อตกลงกับกลุ่มเคมีภัณฑ์ว่านหัว (Wanhua Chemical Group) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ ซั่งไห่ เอนจีเนียริ่ง บิวโร (China Railway Shanghai Engineering Bureau) เพื่อออกแบบและก่อสร้างโรงงานแยกเกลืออกจากน้ำทะเลเพื่อนำมาใช้งานทางอุตสาหกรรมในมณฑลซานตง
ด้าน CMA CGM ได้เซ็นข้อตกลงกับบริษัทไชน่า โอเชียน ชิปปิ้ง คอมพานี (China Ocean Shipping Company หรือ COSCO) และกลุ่มซั่งไห่ อินเตอร์เนชั่นแนล พอร์ต กรุ๊ป (Shanghai International Port Group) สำหรับพวกซัปพลายเชื้อเพลิงไบโอ-เมทานอล (bio-methanol) และอี-เมทานอล (e-methanol)
ส่วนอัลสตอม จะจัดหาระบบขับเคลื่อนรถไฟด้วยไฟฟ้า (electrical traction systems) ให้แก่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนเฉิงตู (Chengdu Metro) แห่งเมืองเฉิงตู เมืองเอกของมณฑลเสฉวน โดยร่วมมือกับบริษัทซีอาร์อาร์ซี (CRRC ชื่อเดิมของบริษัทนี้คือ ไชน่า เนชั่นแนล เรลเวย์ โลโคโมทีฟ แอนด์ โรลลิ่ง สต็อก อินดัสทรี คอร์ป China National Railway Locomotive & Rolling Stock Industry Corp) ทั้งนี้ อัลสตอมมีกิจการร่วมทุน 11 แห่ง และกิจการในเครือที่บริษัทเป็นเจ้าของทั้งหมดอีก 8 แห่งอยู่แล้วในประเทศจีน
ลอรีอัล ก็เข้าทำความตกลงด้านการตลาดเป็นระยะเวลา 3 ปีกับอาลีบาบา (Alibaba) และบรรลุข้อตกลงกับซั่งไห่ โอเรียนตอล บิวตี้ แวลลีย์ (Shanghai Oriental Beauty Valley) ในการจัดตั้งแพลตฟอร์เพื่อการบ่มเพาะสำหรับกิจการด้านเครื่องสำอางของฝรั่งเศสในประเทศจีน
ฝรั่งเศส กับ จีน ยังตกลงกันที่จะอำนวยความสะดวกให้แก่การออกวีซ่าสำหรับนักเรียนนักศึกษาของแต่ละฝ่าย การเริ่มโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ขึ้นมาอีกครั้งหลังสะดุดลงเนื่องจากโรคระบาดใหญ่โควิด รวมทั้งการจัดการการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ครอบคลุมระยะเวลา 1 ปีเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 60 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างฝรั่งเศสกับจีนในปี 2024 โดยที่งานหลังสุดนี้จะมีการจัดนิทรรศการซึ่งนำสิ่งของต่างๆ จากพระราชวังแวร์ซายส์ (Versailles) มาตั้งแสดงที่พระราชวังกู้กง (Forbidden City)
การไปเยือนจีนของ มาครง และพบปะหารือกับ สี เที่ยวนี้ เป็นเรื่องที่สร้างความระคายเคืองให้แก่พวกคอมเมนเตเตอร์ชาวอเมริกันและชาวอังกฤษ ตลอดจนสื่อมวลชนในสองประเทศนี้เป็นจำนวนมาก [1] นิวยอร์กไทมส์พาดหัวระบุทีเดียวว่า “การทูตของฝรั่งเศสบั่นทอนความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะบังคับควบคุมจีน”
ขณะที่ เทเลกราฟ เขียนว่า “มาครง กำลังสร้างความอับอายขายหน้าให้ตัวเอง-และอียูด้วย (และสร้างความเสียหาย) มากมายเหลือเกินสำหรับความสามัคคีของฝ่ายตะวันตก” ด้าน ฟอเรนจ์ โพลิซี เรียกทริปเดินทางนี้ของ มาครง ว่า เป็น “การแวะทำธุระของคนโง่”
บางทีมันอาจเป็นเช่นนั้นก็ได้ ถ้าหากวัตถุประสงค์หลักของประธานาธิบดีฝรั่งเศสคือต้องการส่งอิทธิพลต่อนโยบายของจีนที่เกี่ยวกับรัสเซีย และมุ่งหวังผลักดันนำสันติภาพไปสู่ยูเครน แต่สิ่งเหล่านี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่ได้อยู่ในความคิดของ มาครง หรอกเมื่อตอนที่เขาอยู่ในปักกิ่ง
อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน (Ursula von der Leyen) ประธานของคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) ซึ่งก็คือองค์กรฝ่ายบริหารของสหภาพยุโรป ได้เดินทางไปจีนในช่วงเวลาเดียวกันกับ มาครง ทว่าอยู่ที่นั่นเพียงแค่วันเดียว
ฟอน แดร์ ไลเอิน เป็นผู้ที่พยายามผลักดันให้อียูลดทอนความเสี่ยงในการพึ่งพาทางเศรษฐกิจต่อจีน –ถึงแม้ไม่ได้ไปถึงขั้นต้องการให้หย่าร้างแยกขาดจากจีน- ปรากฏว่าขณะอยู่ในจีนนั้น เธอได้รับการต้อนรับอย่างเย็นชา แต่ มาครง นอกจากได้รับการต้อนรับอย่างเต็มที่ในปักกิ่งแล้ว ยังได้จิบน้ำชาชมสวนกับ สี ที่เมืองกว่างโจ่ว และได้ไปพูดปราศรัยกับพวกนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยในเมืองนั้น โดยที่นักศึกษาจีนผู้ชื่นชมในตัวเขาได้เข้ามารุมล้อมแสดงความปลาบปลื้ม
หมายเหตุผู้แปล
[1] เรื่องปฏิกิริยาของฝ่ายต่างๆ ต่อทริปการเยือนจีนของมาครง รวมทั้งคำพูดของเขาในเรื่อง “ความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์” ทางสำนักข่าวเอเอฟพี ได้เสนอข้อเขียนที่น่าสนใจ 2 ชิ้น โดยชิ้นหนึ่งพูดถึงเสียงของพวกประเทศในยุโรป ขณะที่อีกชิ้นหนึ่งพูดถึงเสียงตอบรับในจีน จึงขอเก็บความนำมาเสนอในที่นี้
ความคิดเห็นเรื่องจีนของ ‘มาครง’ ทำให้พวกชาติพันธมิตรอียูมีโทสะ
โดย สำนักข่าวเอเอฟพี
Macron's China remarks exasperate EU allies
by Dave CLARK, AFP
13/04/2023
ทริปเดินทางไปปักกิ่งเมื่อไม่นานมานี้ของประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ถูกโฆษณาเอาไว้ว่า เป็นโอกาสที่จะได้แสดงให้เห็นถึงความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกันของยุโรป และจะได้เกลี้ยกล่อมโน้มน้าวให้ สี จิ้นผิง ผู้นำของจีนช่วยเหลือในการเหนี่ยวรั้งความแข็งกร้าวของฝ่ายรัสเซีย
แต่แล้วความคิดเห็นซึ่ง มาครง พูดให้สัมภาษณ์พวกนักหนังสือพิมพ์ในระหว่างการเดินทางกลับบ้าน เกี่ยวกับความสัมพันธ์ 3 ฝ่ายระหว่างจีน ยุโรป และสหรัฐฯ กลับกลายเป็นสิ่งที่สร้างความขุ่นเคืองให้แก่พวกชาติหุ้นส่วนในอียูของเขายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
โดยในการให้สัมภาณ์กับ เลส์ ซีโกส์ (Les Echos) หนังสือพิมพ์รายวันของฝรั่งเศส และ โพลิติโค (Politico) แพลตฟอร์มข่าวออนไลน์ของอเมริกา มาครง ได้กล่าวเตือนยุโรปว่า อย่ายอมถูกดึงลากเข้าไปในความขัดแย้งระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง
เขาบอกว่า ถ้าการเผชิญหน้ากันในกรณีไต้หวันทวีความดุเดือดเข้มข้นขึ้น ยุโรปอาจไม่มีเวลาหรือทรัพยากรเพียงพอสำหรับการสร้าง “ความเป็นอิสระในทางยุทธศาสตร์” (strategic autonomy) ขึ้นมา เพื่อจะได้กระทำการต่างๆ โดยไม่ต้องคอยเดินตามการนำของสหรัฐฯ ซึ่งความเป็นตัวของตัวเองของยุโรปนี้แหละคือสิ่งที่ฝรั่งเศสมุ่งหน้าแสวงหา
มาครง กล่าวว่า เมื่อไม่อาจสร้างความเป็นอิสระในทางยุทธศาสตร์ขึ้นมาได้ พวกรัฐสมาชิกของสหภาพยุโรป ก็จะ “กลายเป็นบริวาร ในขณะที่เราสามารถกลายเป็นขั้วที่ 3 ได้ถ้าเรามีเวลาสักสองสามปีในการสร้างมันขึ้นมา”
ปรากฏว่ารัฐบาลจีนแสดงท่าทียินดีปรีดากับความคิดเห็นเช่นนี้ของผู้เป็นอาคันตุกะของตน แต่พวกนักการทูตอียูในบรัสเซลส์กลับไม่ได้ปีติปราโมทย์
“ประธานาธิบดีฝรั่งเศสชอบพูดเพื่อสาธารณรัฐฝรั่งเศสอยู่เสมอมา” เจ้าหน้าที่อาวุโสของอียูผู้หนึ่งบ่นกับพวกผู้สื่อข่าว “ถ้าหากนายกรัฐมนตรีเยอรมนีพูดอะไรออกมาบ้างแล้ว ทุกๆ คนจะพูดว่านี่คือนโยบายของสหภาพยุโรปไหมล่ะ?”
ตั้งแต่ที่บทสัมภาษณ์นี้ได้รับการเผยแพร่ออกมาเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว พวกนักการทูตฝรั่งเศสก็เที่ยวสาละวนยืนยันว่า การที่ยุโรปจะกลายเป็น “ขั้วที่ 3” นั้น ไม่ได้หมายความว่า ระหว่างอเมริกันผู้เป็นพันธมิตรประชาธิปไตยด้วยกัน และจีนผู้เป็นคู่แข่งซึ่งเป็นเผด็จการ ยุโรปต้องหาทางยืนอยู่ให้ห่างเท่าๆ กัน
กระนั้น คำเตือนของ มาครง ที่คัดค้านการตกเป็นสมุนขึ้นต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ รวมทั้งความรับรู้ความเข้าใจ (แม้ได้รับการปฏิเสธจากปารีส) ที่ว่า เขากำลังเสนอแนะว่ายุโรปไม่ควรยืนขึ้นคัดค้านจีนในกรณีไต้หวัน ก็ยังคงทำให้พวกหุ้นส่วนอียูจำนวนมากขุ่นเคืองไม่พอใจ
“ขอร้องอ้อนวอนเผด็จการ”
โดยเฉพาะพวกสมาชิกอียูจากฟากตะวันออกของกลุ่ม เป็นพวกที่มีความกังวลใจมายาวนานแล้วว่าในเรื่องที่ว่ายุโรปจะหลบหลีกผละออกจากอ้อมกอดของวอชิงตัน ซึ่งพวกเขาห็นว่าคือผู้ดีเลิศแสนประเสริฐในการค้ำประกันความมั่นคงเพื่อต่อต้านการก้าวร้าวรุกรานของรัสเซีย รวมทั้งเป็นแนวป้องกันที่สำคัญที่สุดของยูเครน
นายกรัฐมนตรี มาแตอุช มอราวีแยตสกี (Mateusz Morawiecki) ของโปแลนด์ ซึ่งอยู่ระหว่างเยือนกรุงวอชิงตัน วิพากษ์วิจารณ์แรงๆ ใส่พวกเพื่อนผู้นำอียูเฉกเช่น มาครง ตลอดจนนายกรัฐมนตรีโอลาฟ ชอลซ์ ของเยอรมนี ที่ประพฤติปฏิบัติทำนองเดียวกันมาก่อนหน้าประธานาธิบดีฝรั่งเศส ในเรื่องที่มุ่งหาทางได้รับข้อตกลงทางการค้าเมื่อไปเยือนปักกิ่ง
“พวกเขาสายตาสั้นที่มองไปที่จีนเพื่อให้สามารถขายผลิตภัณฑ์อียูได้เพิ่มมากขึ้นที่นั่น โดยที่ต้องสูญเสียต้นทุนทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างมหาศาล” เขาบอก
“ด้วยเหตุนี้ ผมจึงไม่เข้าใจแนวความคิดเรื่องความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์ของยุโรปนี่หรอก ถ้าหากมันหมายถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเรากำลังยิงใส่หัวเข่าของเราเอง”
รัฐมนตรีต่างประเทศ กาเบรียลิอุถส ลันด์สเบอร์จิส (Gabrielius Landsbergis) ของ ลิทัวเนีย กล่าวเยาะเย้ยคำโต้แย้งที่ว่า ยุโรปสามารถโน้มน้าว สี ให้เกลี้ยกล่อมประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ยินยอมลดระดับเลิกราสงครามที่มอสโกกระทำอยู่ในยูเครน
“ผมเสนอให้เราตระหนักยอมรับถึงผลประโยชน์และความจำเป็นต้องความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวของสองฟากฝั่งแอตแลนติก (นั่นคือ ฟากยุโรปและฟากอเมริกา) ... ผมไม่ขอเสนอแนะให้ไปขอร้องอ้อนวนเพื่อให้พวกเผด็จการช่วยเหลือรับประกันสันติภาพในยุโรปหรอก” เขาทวีตเช่นนี้
ปฏิกิริยาในทางลบแบบนี้จากพวกประเทศอียูซึ่งมีพรมแดนติดต่อกับรัสเซีย บางทีอาจจะเป็นสิ่งที่คาดหมายกันได้อยู่แล้ว และ มาครง ก็ไม่เคยอายที่จะพูดแถลงลักษณะยั่วยุเพื่อก่อให้เกิดการถกเถียงอภิปรายเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ที่ยุโรปควรจะนำมาใช้ในอนาคต
ทว่ากระทั่งพวกหุ้นส่วนเก่าแก่ในยุโรปตะวันตกของฝรั่งเศส ก็มีความข้องใจสงสัยในการดำเนินการทางการทูตอย่างอิสระเสรีเช่นนี้ของ มาครง
รัฐมนตรีกลาโหม บอริส พิสตอริอุส (Boris Pistorius) ของเยอรมนี กล่าวว่า “พวกเราไม่ได้เคยตกอยู่ในอันตรายของการที่จะกลายเป็นบริวาร หรือว่าการตกเป็นบริวารของสหรัฐฯ เลยนะ”
“ผมพบว่าความเห็นนี้ไม่เหมาะสม แต่ผมคิดว่าทางวังเอลีเซ (Elysee ทำเนียบประธานาธิบดีฝรั่งเศส) ได้แก้ไขความถูกต้องไประดับหนึ่งแล้วนะ” เขาบอกกับโทรทัศน์ ZDF
ไม่นานหลังเขากลับจากจีนไปถึงยุโรป มาครง ก็ออกเดินทางอีกครั้งหนึ่งเพื่อไปเยี่ยมเยียนเนเธอร์แลนด์ในฐานะเป็นพระราชอาคันตุกะของพระประมุขแห่งรัฐ (state visit) ขณะเดียวกับที่ความคิดเห็นของเขายังคงเป็นที่โต้เถียงกันอย่างเกรี้ยวกราด
นายกรัฐมนตรี มาร์ก รีตเตอ (Mark Rutte) ของเนเธอร์แลนด์ แสดงความระมัดระวังที่จะไม่วิพากษ์วิจารณ์แขกของเขา แต่ก็ยังคงกล่าวว่า “สหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ขาดหายไปไม่ได้ และหากปราศจากความสนับสนุนนั้น (จากสหรัฐฯ) มันก็คิดไม่ออกเลยว่ายูเครนจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในท่ามกลางระลอกคลื่นแห่งความรุนแรงของปีที่ผ่านมา”
ในสำนักงานใหญ่ของอียูที่กรุงบรัสเซลส์ มีความรู้สึกเสียใจที่ความคิดเห็นของ มาครง ได้บดบังความพยายามของประธานคณะกรรมาธิการยุโรป อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ที่พยายามจะประสานงานสร้างจุดยืนของอียูในเรื่องจีน
ทั้งนี้ก่อนที่จะออกเดินทางไปสมทบกับ มาครง ในการเยือนปักกิ่งของเขา ฟอน แดร์ ไลเอิน ได้กล่าวคำปราศรัยว่าด้วยความจำเป็นสำหรับอียูที่จะต้อง “ลบความเสี่ยง” ของตนเองจากการที่ต้องพึ่งพาอาศัยจีน ถึงแม้ในเวลาเดียวกันก็ไม่ใช่ “หย่าร้างแยกขาด” จากตลาดอันมีขนาดใหญ่โตมหึมาของจีน
แต่เห็นกันว่า ขณะที่อยู่ในจีน เธอได้รับการต้อนรับอย่างเย็นชาจากฝ่ายเจ้าภาพ ผิดกับ มาครง ที่กลายเป็นข่าวพาดหัวอยู่คนเดียว
ทางด้าน ชาร์ลส์ มิเชล (Charles Michel) ประธานของคณะมนตรียุโรป (European Council เวทีประชุมของบรรดาผู้นำชาติสมาชิกอียู) ออกทีวีเพื่อปกป้อง (รวมทั้งพยายามที่จะอธิบาย) จุดยืนของ มาครง ตลอดจนความมุ่งมาดปรารถนาในทางยุทธศาสตร์ของยุโรป
“ในเรื่องความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์ มีเสียงสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นแยะจากเมื่อช่วงสองสามปีก่อน” เขาบอกกับโทรทัศน์ของฝรั่งเศส
ความกังวลของพวกพันธมิตร
ความมุ่งมั่นผูกพันกันระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพยุโรปถูกคุกคามอย่างแรง ในระหว่างวาระการดำรงตำแหน่งของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ ผู้นี้มีความรู้สึกสบายอกสบายใจกับ ปูติน เวลาดียวกับที่ข่มขู่จะถอนตัวจากนาโต้
เรื่องนี้ทำให้ทางยุโรปต้องหันมาโฟกัสที่เรื่องความจำเป็นในการยกระดับการป้องกันของพวกเขาเองกันอยู่ระยะเวลาหนึ่ง ทว่าเมื่อรัสเซียรุกรานยูเครน ปรากฏว่าความช่วยเหลือทางทหารที่วอชิงตันให้แก่เคียฟนั้น มากมายเกินกว่าคุณูปการของทางยุโรปนักหนา
กระทั่งพวกที่สนับสนุนให้ยุโรปสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวเพื่อแสดงบทบาทในทางภูมิรัฐศาสตร์ได้ด้วยความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น อย่างเช่น อาร์โนลด์ ดองฌอง (Arnaud Danjean) สมาชิกรัฐสภายุโรปชาวฝรั่งเศสซึ่งสังกัดอยู่ในฝ่ายกลาง-ขวา ยังกล่าวโทษ มาครง ว่าผิดพลาดแล้วที่ผลักดันเรื่องขั้วที่ 3 โดยไม่พิจารณาถึงความกังวลของพวกพันธมิตร
ขณะแนวความคิดที่ว่ายุโรปควรสามารถยืนอยู่ด้วยขาสองข้างของตนเองให้ดีขึ้นกว่าในปัจจุบัน เป็นสิ่งซึ่งยอมรับกันนั้น การเสนอแนะใดๆ ว่าพันธมิตรยุโรปควรถอยห่างออกมาจากสหรัฐฯ ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการสร้างกองกำลังของตนเองขึ้นมา ต้องถือว่าเป็นข้อเสนอที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
“เราต้องประสบความลำบากในการทำให้บรรดาหุ้นส่วนของเรารู้สึกมั่นอกมั่นใจ โดยที่สำคัญแล้วก็เนื่องจากเรากำลังพยายามเอารถมาเทียมไว้ข้างหน้าม้า” เขาทวีตเช่นนี้
“หากอันดับแรกไม่ได้มีการโฟกัสไปที่การพัฒนาความหมายของความเป็นอิสระกันเสียก่อน การประกาศเรื่องนี้ออกมาอย่างเอิกเกริกโดยเสนอมันเป็นเสมือนเรื่องที่รู้ๆ กันอยู่แล้ว ก็รังแต่ก็จะก่อให้เกิดความขุ่นเคืองเท่านั้น”
‘มาครง’ ได้รับการสรรเสริญในจีนว่า ‘ฉลาดหลักแหลม’ จากการแสดงความคิดเห็นเรื่องไต้หวัน
โดย สำนักข่าวเอเอฟพี
Macron praised in China for 'brilliant' Taiwan comments
By AFP
12/04/2023
การเสนอแนะอย่างไม่ได้เป็นที่คาดหมายกันมาก่อนของ เอมมานูเอล มาครง ที่ว่า ยุโรปต้องไม่เป็นบริวาร “เดินตาม” นโยบายสหรัฐฯ ในเรื่องไต้หวัน ได้รับการยกย่องสรรเสริญในประเทศจีนช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าเป็น “การตัดสินใจที่ฉลาดหลักแหลม” โดยที่ทั้งสื่อมวลชนของรัฐและสื่อสังคมต่างพากันประโคมยกย่องความเป็นอิสระของเขา
ประธานาธิบดีฝรั่งเศสผู้นี้ก่อให้เกิดความงุนงงสับสนไปตลอดทั่วทั้งประชาคมระหว่างประเทศ –และทำให้พวกพันธมิตรตะวันตกต่างรู้สึกโกรธเคือง—หลังจากเรียกร้องให้ยุโรปมี “ความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์” ในเรื่องไต้หวัน ภายหลังทริปเดินทางไปจีนในสัปดาห์ก่อน ซึ่งเขาได้พบปะหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง
มาครง ผู้อยู่ในวัย 45 ปี ได้รับการต้อนรับอย่างเอิกเกริกเหมือนกับเป็นร็อกสตาร์ ระหว่างการเยือนจีนเป็นเวลา 3 วันของเขา ซึ่งก็รวมถึงการถูกรุมล้อมจากพวกนักศึกษาที่ไล่ติดตามเพื่อขอถ่ายภาพเซลฟี่กับเขาในเมืองกว่างโจ่ว ทางภาคใต้ของจีน อีกทั้งสื่อมวลชนท้องถิ่นยังเสนอข่าวการแสดงความคิดเห็นของเขาสืบเนื่องจากการไปเยือนแดนมังกรคราวนี้กันอย่างกว้างขวาง โดยมุ่งโฟกัสไปยังวลีที่ มาครง พูดถึง “ความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์”
ในบทความชิ้นหนึ่งซึ่งตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (10 เม.ย.) ในโกลบอลไทมส์ (Global Times) สื่อในเครือของพรรคคอมมิวนิสต์จีน พูดถึงการแสดงความเห็นครั้งนี้ของผู้นำฝรั่งเศสว่า “มีความชัดเจนว่ามันเป็นผลลัพธ์ของการเฝ้าสังเกตการณ์และการขบคิดพิจารณามาอย่างยาวนานของ มาครง” และเป็นตัวแทนของเส้นทางสายที่ “ค่อนข้างพิจารณาสิ่งต่างๆ อย่างปราศจากอคติ มีความสมเหตุสมผล สอดคล้องเข้ากันกับผลประโยชน์ต่างๆ ของยุโรปเอง”
“มีบางคนต้องการสร้างมติมหาชนที่ผิดพลาดขึ้นมาในยุโรป โดยพยายามปกปิดเสียงที่แท้จริงและผลประโยชน์ที่แท้จริงของชาวยุโรป” บทความนี้กล่าวต่อ
ทางด้าน เฉิน เว่ยหัว (Chen Weihua) หัวหน้าสำนักงานกรุงบริสเซลส์ของ ไชน่าเดลี่ หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของทางการจีน โพสต์ข้อความทางทวิตเตอร์ว่า “คำพูดของ มาครง เกี่ยวกับความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์ของอียู และการต่อต้านคัดค้านเรื่องการทำสงครามเย็นครั้งใหม่ตลอดจนเรื่องการหย่าร้างตัดขาดนั้น ยังเป็นสิ่งที่จะได้รับพิสูจน์ให้เห็นว่า คือการตัดสินใจที่ฉลาดหลักแหลม”
“กล้าที่จะพูดอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความเป็นอิสระ” เป็นความเห็นของยูสเซอร์สื่อสังคม “เว่ยปั๋ว” รายหนึ่งใต้รายงานข่าวชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับมาครง พร้อมกับกล่าวด้วยว่า “ยุโรปมีความก้าวหน้าแล้ว”
“การตัดสินใจที่เฉลียวฉลาด”
ขณะที่ชื่อเสียงเกียรติคุณในประเทศจีนของพวกผู้นำตะวันตกแทบทั้งหมดได้เสียหายไปมากมายในช่วงไม่กี่ปีหลังๆ มานี้ แต่สำหรับ มาครง แล้ว ยังคงมีภาพลักษณ์ไปในทางที่สาธารณชนแดนมังกรจำนวนมากนิยมชมชื่น –ทัศนคติเช่นนี้ปรากฏเป็นหลักฐานพิสูจน์ชัด จากกรณีของพวกนักศึกษาจำนวนมากในเมืองกว่างโจว
ยิ่งในการให้สัมภาษณ์เมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งเขามีความปรารถนาที่จะแสดงให้เห็นว่านโยบายการต่างประเทศของฝรั่งเศสว่าด้วยประเด็นปัญหาไต้หวันนั้นมีความผิดแผกแตกต่างไปจากของสหรัฐฯ ก็ยิ่งช่วยหนุนส่งฐานแฟนๆ ดังกล่าว
ผู้ใช้เว่ยปั๋วรายหนึ่งให้ความเห็นว่า “แนวความคิดของ มาครง ดีมากๆ ความโอหังลำพองและการอยู่นิ่งไม่ทำอะไรมานานหลายปีของยุโรป ได้นำไปสู่ภาวะตกเป็นฝ่ายถูกกระทำในทางยุทธศาสตร์อย่างสุดขั้ว กำลังถูกดึงลากไปตามใจโดยสหรัฐฯ”
ทางการจีนเองก็เอ่ยปากยกย่องการให้ความเห็นของ มาครง ขณะกล่าวเมื่อวันพุธ (12 เม.ย.) ว่า มัน “ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ” อะไรที่มีปฏิกิริยาในทางลบออกมาจากบางคนบางฝ่ายในโลกตะวันตก
“บางประเทศไม่ได้ต้องการเห็นประเทศอื่นๆ กลายเป็นประเทศที่มีอิสระและพึ่งพาตนเอง แต่ตรงกันข้ามมีความต้องการเสมอมาที่จะใช้อำนาจบังคับประเทศอื่นๆ ให้ต้องเชื่อฟังยอมกระทำตามเจตนารมณ์ของพวกเขา” หวัง เหวินปิน (Wang Wenbin) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าวระหว่างการแถลงข่าวตามปกติของกระทรวง
“การยืนหยัดในเรื่องความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์ทำให้ได้รับความเคารพนับถือเพิ่มมากขึ้นและได้เพื่อนมิตรเพิ่มมากขึ้น ขณะที่การใช้อำนาจยังคับและการกดดันบีบคั้นรังแต่จะทำให้เกิดการต่อต้านและการคัดค้านเพิ่มมากขึ้น” เขากล่าวต่อ
ทว่าทัศนะมุมมองแบบผู้ชนะของฝ่ายจีนเช่นนี้ มีการลดถอยลงเหมือนกันจากน้ำเสียงซึ่งสุขุมจริงจังมากกว่า ที่ยืนยันว่าความเป็นจริงทางภูมิรัฐศาสตร์บังคับให้ฝรั่งเศสและยุโรปยังคงต้องจับมือเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ เป็นสำคัญ
หู ซีจิน (Hu Xijin) คอมเมนเตเตอร์ด้านการเมืองคนสำคัญมาก และเป็นอดีตบรรณาธิการใหญ่ของโกลบอลไทมส์ก่อนจะเกษียณอายุ เขียนเอาไว้ในเว่ยปั๋วเมื่อวันจันทร์ (10 เม.ย.) ว่า --ถึงแม้ มาครง แสดงความคิดเห็นเอาไว้อย่างสวยสดงดงามในสายตาของจีนก็ตามที— แต่มันก็ “ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง” หรอก ถ้าจีนไปคิดว่าฝรั่งเศสจะอยู่ข้างเดียวกับตน เมื่อเกิดเผชิญหน้ากับวอชิงตันขึ้นมาในอนาคต
ยุโรปและสหรัฐฯ “มีค่านิยมต่างๆ ร่วมกัน และถูกผูกมัดเอาไว้ด้วยกันโดยนาโต้” หู เขียนเอาไว้เช่นนี้
“แต่เราสามารถเชื่อได้อย่างหนักแน่นว่า ตราบใดที่จีนปฏิบัติต่อประเทศต่างๆ ทางยุโรปอย่างสมเหตุสมผลและอย่างเป็นธรรม ขณะสหรัฐฯ บังคับพวกเขาให้ต่อต้านจีนแล้ว ความขัดแย้งระหว่างผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของทั้งสองฝ่ายนี้จะต้องโผล่ขึ้นมาสู่ผิวนอกจนได้”