เอเจนซีส์ - หัวหน้าข่าวกรองออสเตรเลียยอมรับในที่ประชุมซิดนีย์ไดอะล็อกวันอังคาร (4 เม.ย.) ถึงอำนาจทางเทคโนโลยีที่เคยอยู่ในเงื้อมมือสหรัฐฯ กำลังหลุดไป ชี้อเมริกากำลังขึ้นสนิม จำเป็นที่ทั้งสหรัฐฯ อังกฤษ และออสเตรเลียต้องผนึกกำลังสู้ปักกิ่งที่มีศักยภาพล้ำอนาคตอย่างก้าวกระโดด เกิดขึ้น 1 เดือนหลังประธานคณะเสนาธิการทหารสหรัฐฯ พล.อ.มาร์ค มิลลีย์ คาดการณ์ไม่เกิน 15 ปี กองทัพสหรัฐฐฯ และชาติที่ก้าวหน้าจะกลายเป็นกองทัพใช้ระบบหุ่นยนต์เป็นหลัก
หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์รายงานวานนี้ (4 เม.ย.) ว่า กลายเป็นที่อื้ออึงไปทั่วทั้งห้องประชุมซิดนีย์ ไดอะล็อก ในวันอังคาร (4) หลังหัวหน้าข่าวกรองออสเตรเลียเปิดเผยในที่ประชุมว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯ กำลังร่วงโรย ทำให้สมาชิกทั้งหมด 3 ชาติจำเป็นต้องร่วมกันระดมสมองทางด้านควอนตัม และไฮเปอร์โซนิกเพื่อแข่งขันกับจีน
อดีตซีอีโอบริษัทกูเกิล เอริค ชมิดต์ (Eric Schmidt) ปัจจุบันประธานกรรมการการโปเจกต์การศึกษาความสามารถพิเศษทางการแข่งขันสหรัฐฯ (US Special Competitive Studies Project) กล่าวในที่ประชุมว่า จีนนั้นไม่เหมือนกับอดีตสหภาพโซเวียตในยุคสูงสุดของช่วงสงครามเย็น “เป็นเพราะจีนเป็นคู่แข่งอำนาจนิยมที่ถูกบริหารโดยพวกเทคโนแครตที่มีความสามารถมากในการสร้างอนาคตใหม่"
ขณะที่ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติออสเตรเลีย แอนดรูว์ เชียเรอร์ (Andrew Shearer) กล่าวว่า ความสมดุลทางอำนาจภายในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกเริ่มที่จะหันออกห่างจากสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร เป็นอันตรายต่อการป้องปราม
“พวกเรากำลังเห็นเทคโนโลยีล้ำยุคที่มีอย่างยาวนานเริ่มต้นที่จะล้าสมัย และมีบางกรณีพบว่าความล้ำยุคได้หายไปหมดแล้ว” เชียเรอร์ กล่าว
สื่อฮ่องกงรายงานว่า พันธมิตรกลุ่ม AUKUS คาดว่าจะได้เห็นแคนเบอร์ราซื้อฝูงเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์จากสหรัฐฯ แต่ทว่ารัฐมนตรีกลาโหมออสเตรเลีย ริชาร์ด มาร์ลส์ (Richard Marles) เปิดเผยในที่ประชุมที่จัดโดยสถาบันนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ออสเตรเลียว่า เรือดำน้ำเหล่านี้จะมาพร้อมกับเทคโนโลยีการทหารที่เป็นการแชร์ร่วมกัน
นอกจากนี้ ในที่ประชุมนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำด้านคอมพิวเตอร์ ควอนตัม Michelle Simmons เรียกร้องให้ 3 ชาติ ออสเตรเลีย อังกฤษ และสหรัฐฯ ตั้งหน่วยภารกิจร่วมเพื่อพัฒนาคอมพิวเตอร์ควอนตัมที่ล้ำสมัย
ขณะเดียวกัน อดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงอังกฤษ สตีเฟน เลิฟโกรฟ (Stephen Lovegrove) กล่าวถึงอังกฤษในที่ประชุมเช่นกันว่า อังกฤษจำเป็นต้องการความก้าวหน้าทางไฮเปอร์โซนิก และ AUKUS ต้องก้าวมาเพื่อให้การสนับสนุน
อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีของสหรัฐฯ ในที่ประชุม ชมิดต์ซึ่งเป็นที่ปรึกษาเพนตากอนด้าน AI แสดงความเห็นว่า วอชิงตันจำเป็นต้องเปิดกว้างให้นักวิทยาศาสตร์จีนที่มีความสามารถเข้าร่วมการวิจัยทางด้านเทคโนโลยีควอนตัม แต่ทว่าวอชิงตันปัจจุบันยังจำกัดการเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้และไม่อนุญาตให้เดินทางเข้าสหรัฐฯ
ซึ่งความเห็นของชมิดต์สะท้อนถึงเทคโนโลยีที่สหรัฐฯ กำลังพยายามพัฒนา รวมไปถึงทางด้าน AI ในการป้องกันประเทศ หลังจากก้อนหน้าประธานเสนาธิการทหารร่วมสหรัฐฯ พล.อ.มาร์ค มิลลีย์ เคยออกมาให้สัมภาษณ์ Eurasia Group Foundation ผ่านพ็อดแคสต์ตามการรายงานของบิสซิเนสอินไซเดอร์เมื่อวันที่ 22 มี.ค. โดยเขาทำนายว่า กองทัพชาติจำนวนมากที่มีความทันสมัยที่สุดของโลกในอนาคตไม่เกิน 15 ปีข้างหน้าล้วนแต่เป็นหุ่นยนต์ หรือเป็นแบบไร้มนุษย์ควบคุม เป็นต้นว่าเรือ หรือรถถัง
“ภายใน 15 ปีหลังจากนี้หากไม่เร็วกว่านั้น” เขากล่าวและเสริมต่อว่า “พวกคุณจะได้เห็นสัดส่วนที่มากของกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศเป็นระบบอัตโนมัติ”
บิสซิเนสอินไซเดอร์ว่า ในเวลานี้ โดรนยังคงเป็นสิ่งเดียวที่ได้เห็นสำหรับยุทโธปกรณ์ AI ในกองทัพสหรัฐฯ แต่ทว่าทางกองทัพบกต้องการได้เห็นยุทโธปกรณ์ AI ภาคพื้น และอีกทั้งเจ้าหน้าที่กองทัพเรือสหรัฐฯ เคยแสดงความเห็นปีที่ผ่านมาว่า ในไม่ช้าอาจมีการส่งเรือรบสหรัฐฯ ออกไปพร้อมกับเรือโดรนอัตโนมัติและอากาศยานอื่นๆ
และเมื่อไม่นานมานี้ ผู้นำกองทัพอากาศสหรัฐฯ แถลงว่า มีความต้องการโดรนเจน 6 วิงแมน (Drone wingman) มากถึง 1,000 ตัว