เอเจนซีส์ - เป็นครั้งแรกที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ริชี ซูแน็ก เยือนกรุงปารีสเป็นทางการวันศุกร์ (10 มี.ค.) และบรรลุข้อตกลงผู้อพยพทร่วมกับประธานาธิบดีฝรั่งเศสเอ็มมุแอล มาครง ที่ทำเนียบปาแลเดอเลลีเซ เพื่อหยุดเรือเล็กข้ามช่องแคบอังกฤษเข้าลี้ภัยในแดนผู้ดี หลังวางแผนออกกฎหมายห้ามไม่ให้สถานภาพผู้ลี้ภัยแก่ผู้อพยพเข้าอังกฤษทางเรือเล็ก แต่โดน EU ขวาง ชีพจรลงเท้าวันอาทิตย์ (12 มี.ค.) เดินทางเข้าสหรัฐฯ หารือคุยเรื่องเรือดำน้ำออสเตรเลียต่อ
บีบีซี สื่ออังกฤษ รายงานเมื่อวานนี้ (11 มี.ค.) ว่า อังกฤษจะมอบเงินมูลค่าเกือบ 500 ล้านปอนด์ (575 ล้านดอลลาร์) ให้ฝรั่งเศสเพื่อให้ปารีสสามารถหยุดกลุ่มผู้อพยพเดินทางเรือเล็กข้ามช่องแคบอังกฤษภายในระยะเวลา 3 ปี เข้าไปลี้ภัยในแดนผู้ดี
มีคำแถลงออกมาจากการประชุมซัมมิตอังกฤษ-ฝรั่งเศส หลังการประชุมหารือในการประชุมซัมมิตระหว่างกันเป็นระยะเวลา 1 ชั่วโมง โดยที่ไม่ต้องมีล่ามแปลภาษาหรือผู้ช่วยครั้งแรกในรอบ 5 ปี ซึ่งสื่อฟรานซ์24 รายงานว่า ขบวนรถไฟยูโรสตาร์ของนายกรัฐมนตรีอังกฤษที่ออกเดินทางมาตั้งแต่เวลา 07.00 น.อ้างอิงจากเดอะมิร์เรอร์ เดินทางมาถึงกรุงปารีสสำเร็จในวันศุกร์ (10) ถึงแม้จะเกิดขึ้นท่ามกลางฝรั่งเศสกำลังประสบปัญหาผละงานประท้วงครั้งใหญ่จากการที่พลเมืองแดนน้ำหอมไม่พอใจที่มาตรการปฏิรูปบำนาญกำหนดอายุการเกษียณการทำงานจาก 62 ปีมาอยู่ที่ 64 ปี ได้ผ่านโหวตจากสภาสูงฝรั่งเศสแล้ว
การสไตรก์ของฝรั่งเศสไม่ต่างจากที่ซูแน็ก กำลังเผชิญการประกาศผละงานในอังกฤษที่บ้านจากปัญหาค่าครองชีพ ซึ่งระหว่างการพบปะ ฟรานซ์24 รายงานว่า ผู้นำทั้งสองมีการแลกเปลี่ยนเสื้อทีมรักบี้ก่อนศึก Le crunch ระหว่างทีอังกฤษ-ฝรั่งเศสสุดสัปดาห์
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ริชี ซูแน็ก ที่อยู่ในกรุงปารีสวันศุกร์ (10) ระหว่างการเยือนอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกเพื่อพยายามหว่านล้อมประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานุแอล มาครง ให้ช่วยเหลือยับยั้งไม่ให้ผู้อพยพใช้ฝรั่งเศสเป็นฐานเดินเรือเล็กข้ามช่องแคบอังกฤษเพื่อเข้ามาลี้ภัยในกรุงลอนดอนสำเร็จ
UPI รายงานว่า ข้อตกลงอังกฤษ-ฝรั่งเศส จะมีการเพิ่มการลาดตระเวนของตำรวจแดนน้ำหอมมากขึ้น โดยปีที่ผ่านมา หยุดการข้ามช่องแคบโดยเรือเล็กมากกว่า 30,500 ครั้ง คิดเป็นเกือบ 2 เท่าของปี 2021 และมีการจับกุม 500 คน อ้างอิงจากสำนักงานทำเนียบนายกรัฐมนตรีอังกฤษ
บีบีซีรายงานว่า เงินเกือบ 500 ล้านปอนด์จะช่วยให้ฝรั่งเศสสามารถเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่อีก 500 คน และจัดตั้งศูนย์ควบคุมผู้ลี้ภัยในฝรั่งเศส แต่ทว่าจะเปิดดำเนินการได้ก็ต่อเมื่อปี 2026 ไปแล้ว
ซึ่งอังกฤษมีแผนจะจ่ายฝรั่งเศสปีนี้เป็นจำนวน 63 ล้านปอนด์ (75.5 ล้านดอลลาร์) เพื่อขอให้ฝรั่งเศสช่วยแก้ปัญหา แพกเกจใหม่ดูเหมือนมีเพิ่มไม่ต่ำกว่า 2 เท่า โดยฝ่ายอังกฤษประกาศเสนออุดหนุน 120 ล้านปอนด์ ระหว่างปี 2023-2024
มาครงซึ่งในที่ประชุมซัมมิตภายในทำเนียบประธานาธิบดีฝรั่งเศส ปาแลเดอเลลีเซที่โอ่อ่าประกาศตัวลงขันร่วมด้วยเช่นกัน แต่ในเวลานี้ยังไม่เป็นที่เปิดเผยว่าจะมีจำนวนมากน้อยเท่าใด
ก่อนซูแน็กจะออกเดินทางจากอังกฤษ เขาวางแผนจะออกกฎหมายห้ามให้สถานภาพผู้ลี้ภัยแก่ผู้อพยพที่เดินทางเข้าอังกฤษด้วยเรือเล็ก แต่ทว่าสหภาพยุโรปรีบออกมาเตือนว่า การทำเช่นนั้นเท่ากับเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
ดิอินดีเพนเดนท์ของอังกฤษรายงานก่อนหน้าว่า อิลวา โจฮานส์สัน (Ylva Johansson) กรรมาธิการกิจการภายในสหภาพยุโรป เปิดเผยว่า เธอได้เตือนรัฐมนตรีมหาดไทยอังกฤษ ซูเอลลา เบรฟเวอร์แมน (Suella Braverman) ว่า กฎหมายข้ามช่องแคบอังกฤษผิดกฎหมายนั้นอาจละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
ซึ่งเบรฟเวอร์แมน อ้างว่า ได้แจ้งต่อโจฮานส์สัน ในรายละเอียดโดยสรุปเกี่ยวกับกฎหมายที่อังกฤษกำลังวางแผนจะไม่อนุญาตให้ผู้อพยพที่เดินทางเข้าอังกฤษทางเรือเล็กสามารถลี้ภัยในอังกฤษได้ ทั้งนี้ รัฐมนตรีมหาดไทยอังกฤษอ้างผ่านรายการเพสตันโชว์ (Peston show) ของสถานีโทรทัศน์ iTV ว่า อังกฤษไม่จำเป็นต้องผูกพันกับกฎเกณฑ์ต่างๆ ของ EU อีกต่อไป และสามารถตั้งกฎเกณฑ์การเข้าเมืองของตัวเองได้โดยอิสระ
ทั่วโลกต่างจับตามความสัมพันธ์แบบ Le Bromance ระหว่าง 2 ชาติไปทั่ว โดยเฉพาะเกิดขึ้นก่อนการประกาศข้อตกลงดีลเรือดำน้ำออสเตรเลียของกลุ่ม AUKUS ที่หลังจากซูแน็กเสร็จสิ้นภารกิจในฝรั่งเศสจะบินไปสหรัฐฯ ต่อในวันอาทิตย์ (12)
ซาอุดีอาระเบีย กาเซ็ตต์ รายงานวันศุกร์ (10) ว่า ทั้ง 2 ชาติมหาอำนาจยุโรปพยายามทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันกลับเข้าที่เข้าทางอีกครั้ง ซึ่งอังกฤษและฝรั่งเศสมีความสัมพันธ์อย่างชาเย็นต่อกันในยุคหลัง BREXIT จากปัญหาประเด็นสิทธิทางการประมง และประเด็นอื่นๆ
แต่ทว่าการที่รัสเซียบุกยูเครนทำให้อังกฤษและยุโรปภาคพื้น รวมฝรั่งเศสมีความใกล้ชิดกันมากขึ้น ซึ่งการเยือนฝรั่งเศสของนายกรัฐมนตรี ริชี ซูแน็ก ซึ่งขึ้นมารับตำแหน่งเมื่อตุลาคมปีที่แล้ว เกิดขึ้นล่วงหน้า 2 สัปดาห์ก่อนการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศครั้งแรกในรัชสมัยไปยังฝรั่งเศส และเยอรมนีของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 และพระราชินีคามิลลา แห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในความพยายามของอังกฤษในการสร้างความสัมพันธ์กับชาติยุโรปเพื่อนบ้าน
