xs
xsm
sm
md
lg

งานหยาบ! ไฟเซอร์โดนปลอมตัวหลอกถาม รับกำลังทดลองกลายพันธุ์โควิดโกยเงินจากวัคซีนใหม่ (ชมคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จอร์ดอน ทริชตัน วอล์คเกอร์ ผู้อำนวยการของไฟเซอร์ ด้านวิจัยและพัฒนา ถูกนักข่าวคนหนึ่งของ Project Veritas ปลอมตัวติดต่อพูดคุย และระหว่างนั้นยอมรับว่าทางบริษัทกำลังพยายาม "กลายพันธุ์" โควิด ผ่านเทคนิค "Directed Evolution" เพื่อชิงพัฒนาวัคซีนล่วงหน้า นั่นหมายความว่ามันจะเป็นการจงใจทำให้เชื้อกลายพันธุ์ด้วยฝีมือนักวิจัย ไม่ใช่การกลายพันธุ์เองโดยธรรมชาติเหมือนที่ผ่านๆ มา พร้อมเชื่อมันจะสร้างรายได้แก่บริษัทอย่างมหาศาล

วอล์คเกอร์ บอกกับผู้สื่อข่าวปลอมตัวว่า "หนึ่งในหลายๆ อย่างที่เรา (ไฟเซอร์) กำลังสำรวจก็อย่างเช่น ทำไมเราไม่กลายพันธุ์มัน (โควิด) ด้วยตัวเราเอง เพื่อที่เราจะสร้าง พัฒนาวัคซีนใหม่ล่วงหน้า ถูกต้องไหม?" แล้วเราต้องทำอย่างไรล่ะ มันมีความเสี่ยงตามที่คุณจินตนาการไว้นั่นแหละ ไม่มีใครต้องการเห็นบริษัทยาหนึ่งๆ กลายพันธุ์ f**king ไวรัสพวกนี้"

เขากล่าวต่อว่า "จากสิ่งที่ผมได้ยินมาพวกเขา (นักวิทยาศาสตร์ของไฟเซอร์) กำลังดำเนินการมันอย่างเหมาะสม (กระบวนการกลายพันธุืโควิด) แต่พวกเขามีความคืบหน้าอย่างช้าๆ เพราะว่าทุกคนระมัดระวังอย่างมาก แน่นอนพวกเขาไม่ต้องการเร่งรีบจนเกินไป ผมคิดว่าพวกเขาแค่พยายามทำมันเหมือนสิ่งวิจัยหนึ่งๆ เพราะแน่นอนว่าคุณคงไม่ต้องการป่าวประกาศว่าคุณกำลังค้นหาตัวกลายพันธุ์ในอนาคต"

วอล์คเกอร์ ร้องขอว่า "อย่าไปบอกใคร คุณต้องสัญญาว่าจะไม่บอกใคร แนวทางของมัน (การทดลอง) คือเราใส่ไวรัสไปในฝูงลิง และเราประสบความสำเร็จทำให้พวกมันแพร่เชื้อกันและกัน และเรารวบรวมชุดตัวอย่างจากพวกมัน"

"คุณจำเป็นต้องควบคุมอย่างเข้มข้น เพื่อมั่นใจวว่าไวรัสนี้ (โควิด) ที่คุณกลายพันธุ์มันจะไม่ก่อบางอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับที่อื่นๆ" เขากล่าว "ซึ่งด้วยแนทางที่ไวรัสเริ่มในอู่ฮั่น ด้วยความสัตย์จริง ผมสงสัยว่ามันไม่สมเหตุสมผลเลยที่ไวรัสนี้จะโผล่ออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ มันไร้สาระ"

ผู้สื่อข่าวปลอมตัวถาม วอล์คเกอร์ ต่อไปว่า เมื่อไหร่ที่ไฟเซอร์จะเริ่มดำเนินการกลายพันธุ์ไวรัสเหล่านี้ทั้งหมด ทาง วอล์คเกอร์ ตอบว่า "มันขึ้นอยู่กับผลลัพธ์การทดลอง เพราะว่านี่คือบางอย่างที่เรากำลังพยายามอยู่ ถูกต้องไหม?"

จากนั้นผู้สื่อข่าวกล่าวขึ้นว่า "สำหรับผม มันดูเหมือนกับการกลายพันธุ์แบบ Gain-of-Function เลย" แต่ทาง วอล์คเกอร์ อธิบายว่า "ผมคิดว่ามันต่างกัน มันดูเหมือนเป็นเช่นนั้น แต่ Directed Evolution นั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก"


วอล์คเกอร์ ยอมรับกับผู้สื่อข่าวของ Project Veritas ด้วยว่า "ส่วนหนึ่งในสิ่งที่พวกเขา (พวกนักวิทยาศาสตร์ของไฟเซอร์) ต้องการทำคือ ขยายขอบเขตบางอย่างในความพยายามหาคำตอบเกี่ยวกับวิธีการการปรากฏตัวขึ้นมาของสายพันธุ์ใหม่และตัวกลายพันธุ์ทั้งหมดนี้ มันเหมือนเป็นความพยายามไล่จับพวกมัน ก่อนที่พวกมันจะโผล่ขึ้นมา เพื่อที่เราจะสามารถพัฒนาวัคซีนในเชิงป้องกันสำหรับตัวกลายพันธุ์ใหม่ นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงทำมันภายใต้การควบคุมในห้องปฏิบัติการ ดังนั้น หากมันปรากฏต่อสาธารณะในภายหลัง ในตอนนั้นเราก็มีวัคซีนที่สามารถใช้งานได้กันแล้ว"

ผู้สื่อข่าวของ Project Veritas ตอบกลับว่า "โอ้พระเจ้า มันสมบูรณ์แบบเลย นี่คือโมเดลทางธุรกิจที่สุดยอดเลยใช่ไหม? เพียงแค่ควบคุมธรรมชาติ ก่อนที่มันจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ? ถูกต้องไหม?" ซึ่งทาง วอล์คเกอร์ ตอบว่า "ใช่ ถ้ามันได้ผล"

เขาตอบว่า "เพราะว่าบางครั้งมีตัวกลายพันธุ์ต่างๆ ที่เราไม่ได้เตรียมการไว้โผล่ขึ้นมา อย่างเช่น เดลตาและโอมิครอน และด้วยสิ่งต่างเหล่านี้ ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง มันจะทำเงินได้มากมาย โควิดจะทำเงินให้เรามากมายไปอีกสักพัก แน่นอนที่สุด"

"ผมคิดว่าการวิจัยทั้งหมดทั้งมวลเกี่ยวกับไวรัสและตัวกลายพันธุ์ก็เช่นกัน มันจะทำเงินได้อย่างสุดยอด" ผู้สื่อข่าวตอบกลับ ซึ่งทาง วอล์คเกอร์ ยอมรับว่า "ใช่ ผมจะสมบูรณ์แบบ" พร้อมระบุว่าบริษัทยาใหญ่ๆ "คือประตูหมุน (revolving door) สำหรับเจ้าหน้าที่รัฐบาลทุกคน" อันหมายถึงการเข้าออกของบุคลากรระดับสูงระหว่างผู้กำกับดูแลในภาครัฐและบริษัทที่ถูกกำกับดูแลในภาคเอกชน

เขากล่าวต่อว่า "ดังนั้น ในอุตสาหกรรมยา ทุกคนที่พิจารณาทบทวนยาของเรา ท้ายที่สุดแล้ว เกือบทั้งหมดในนั้นจะมาทำงานให้บริษัทยาต่างๆ เช่นเดียวกับในด้านการทหาร พวกเจ้าหน้าที่กลาโหมของรัฐบาล ท้ายที่สุดแล้วก็จะมาทำงานให้บริษัทกลาโหมหลังจากนั้น"

วอล์คเกอร์เน้นว่า แนวทางปฏิบัติดังกล่าวเป็นเรื่องดีสำหรับภาคอุตสาหกรรม "แต่เป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับคนอื่นๆ ในอเมริกา" โดยเขาอธิบายต่อว่า "เมื่อคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบที่ทำหน้าที่ตรวจสอบทบทวนยาของเรา รู้ว่าเมื่อครั้งที่เขาหยุดทำหน้าที่แล้ว พวกเขาก็จะมาทำงานให้ทางบริษัท พวกเขาจะไม่มีท่าทีแข็งกร้าวกับบริษัทที่จะมอบหน้าที่การงานให้พวกเขา"

(ที่มา : investogist/อาร์ทีนิวส์)


กำลังโหลดความคิดเห็น