xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมชาติหฤโหด! เมืองจีนหนาวสุดเป็นประวัติการณ์ลบ 53 องศา เกาหลีใต้-ญี่ปุ่นเจอสภาพอากาศสุดขั้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สภาพอากาศหนาวเหน็บเล่นงานเอเชียเหนือในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ฉุดอุณหภูมิดำดิ่งในจีน บางพื้นที่แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นต้องเผชิญกับอากาศหนาวสุดขั้วเช่นกัน

นักอุตุนิยมวิทยาระบุว่า เมืองทางเหนือสุดของจีน อุณหภูมิดำดิ่งแตะระดับ -53 องศาเซลเซียส นับว่าหนาวเหน็บที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมา โดยพื้นที่ดังกล่าวตั้งอยู่ในมณฑลเฮยหลงเจียง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและอยู่ใกล้กับไซบีเรียของรัสเซีย ทั้งนี้ เมืองโมเหอ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะ "ขั้วโลกเหนือของจีน" และเป็นหนึ่งในไม่กี่สถานที่ของประเทศที่มีภูมิอากาศแบบกึ่งอาร์กติก

อุณหภูมิตอนเวลา 07.00 น. ของวันที่ 22 มกราคม ซึ่งเป็นวันแรกของเทศกาลตรุษจีน อยู่ที่ -53 องศาเซลเซียส จากการเปิดเผยของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาเฮยหลงเจียง ทุบสถิติเดิม -52.3 องศาเซลเซียส ที่เคยเกิดขึ้นในปี 1969

ในเมืองยาคุตสค์ ของรัสเซีย ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะเป็นเมืองที่หนาวเหน็บที่สุดในโลก พบเห็นอุณหภูมิดำดิ่ง -62.7 องศาเซลเซียส นับเป็นสภาพอากาศหนาวสุดขั้วที่สุดในรอบกว่า 2 ทศวรรษ

ไม่กี่เดือนก่อน จีนเพิ่งพบเจอคลื่นความร้อนเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 1961 ซึ่งก่อไฟฟ้าดับเป็นวงกว้าง และระดับน้ำในแม่น้ำเหือดแห้ง สภาพอากาสร้อนระอุลากยาวนานกว่า 70 วัน ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางในพื้นที่ขนาดใหญ่ของประเทศ

สภาพอากาศหนาวเหน็บยังเล่นงานเกาหลีใต้และญี่ปุ่นด้วยเช่นกัน โดยในกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ วัดอุณหภูมิได้ -16 องศาเซลเซียสในวันอังคาร (24 ม.ค.) ขณะที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น พยากรณ์ว่าอาจพบเห็นหิมะตกหนักไปจนถึงวันพฤหัสบดี (26 ม.ค.)

สภาพอากาศที่หนาวเหน็บกว่าปกติมีแววปกคลุมภูมิภาคแถบนี้ไปจนถึงสิ้นเดือน ซึ่งอาจกระพืออุปสงค์ทำความร้อนในชาติผู้นำเข้าพลังงานรายใหญ่อย่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตาม สำหรับตอนนี้ผลกระทบยังมีไม่มากนัก เพราะโรงงานต่างๆ ในจีนปิดปฏิบัติการเนื่องในเทศกาลตรุษจีน ส่วนญี่ปุ่นมีคลังสำรองก๊าซธรรมชาติเหลวเพียงพอสำหรับป้องโรงไฟฟ้าทั้งหลาย

เจ้าหน้าที่ในเมืองโมเหอ ยกระดับเดินเครื่องเครื่องกำเนิดไอน้ำ เพื่อสามารถป้อนความร้อนและน้ำร้อนแก่ครัวเรือนต่างๆ ส่งผลให้การบริโภคถ่านหินเพิ่มขึ้นกว่าระดับปกติราว 1 ใน 3 ตามรายงานของสื่อมวลชนท้องถิ่น และจนถึงเวลานี้ยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับการขาดแคลนพลังงานและเชื้อเพลิง

อากาศหนาวเหน็บในเฮยหลงเจียง นั่นหมายความว่าหลายพื้นที่ของมณฑลแห่งนี้ ต้องเผชิญกับอุณหภูมิต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ไปจนถึงวันพุธ (25 ม.ค.) จากการคาดการณ์ขององค์การอุตุนิยมวิทยาแห่งจีน

หลายพื้นที่ของญี่ปุ่นอาจพบเห็นหิมะในวันอังคาร (24 ม.ค.) ด้วยอุณหภูมิมีสิทธิลดต่ำกว่าจุดเยือกแข็งตามเมืองใหญ่ต่างๆ ในวันพุธ (25 ม.ค.) ในนั้นรวมถึงกรุงโตเกียว นาโงยาและฟูกูโอกะ จากการพยากรณ์ของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น ในขณะที่กระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคมและท่องเที่ยว เมื่อวันจันทร์ (23 ม.ค.) เรียกร้องประชาชนอย่าออกไปข้างนอกในกรณีที่เกิดหิมะตกหนัก และขอให้ผู้ขับขี่ใช้มาตรการระมัดระวังไว้ก่อน หากมีความจำเป็นต้องใช้รถใช้ถนนจริงๆ

เจแปน แอร์ไลน์สเผยว่า เที่ยวบินต่างๆ อาจล่าช้าหรือยกเลิก สืบเนื่องจากสภาพอากาศในวันอังคาร (24 ม.ค.) และวันพุธ (25 ม.ค.) ส่วนสายการบินเอเอ็นเอ ระบุได้ยกเลิกเที่ยวบินภายในประเทศ 78 เที่ยวในวันอังคาร (24 ม.ค.) และจะยกเลิกเพิ่มเติมอีก 10 เที่ยวในวันพุธ (25 ม.ค.) ขณะที่เวสต์ เจแฟน เรลเวย์ และคิวชู เรลเวย์ 2 บริษัทเดินรถไฟ ยอมรับว่าตารางการเดินรถอาจได้รับผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ

มิตซูบิชิ เฮฟวี อินดัสตรีส์ เลื่อนการปล่อยดาวเทียวสื่อสารดวงหนึ่งที่กำหนดไว้ในวันพุธ (25 ม.ค.) ไปเป็นอย่างเร็วที่สุดในวันพฤหัสบดี (26 ม.ค.) แต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ ส่วนโตโยต้า มอร์เตอร์ ระงับปฏิบัติการที่โรงงานต่างๆ บนเกาะคิวชู ทางภาคใต้ของประเทศในวันพุธ.(25 ม.ค.) สืบเนื่องจากคาดหมายว่าจะมีหิมะตกลงมา

เกาหลีใต้ก็ได้รับผลกระทบจากคลื่นความหนาวระหว่างเทศกาลตรุษจีนเช่นกัน ด้วยอุณหภูมิลดต่ำแตะระดับ -25 องศาเซลเซียสในจังหวัดคังวอน ในวันอังคาร (24 ม.ค.) เจ้าหน้าที่รัฐบาลได้ทำการตรวจสอบโรงไฟฟ้าหลักๆ ในกรุงโซล และสั่งการให้เตรียมพร้อมเต็มกำลังสำหรับรับมือกับการบริโภคพลังงานที่พุ่งสูง

เที่ยวบินต่างๆ ที่มุ่งหน้าสู่เกาะเชจู ต้องประสบความวุ่นวาย หลังมีคำเตือนเกี่ยวกับหิมะและคลื่นความหนาวเย็น โดยจนถึงวันอังคาร (24 ม.ค.) เที่ยวบินทั้งขาเข้าและขาออกถูกยกเลิกไปแล้วเกือบ 500 เที่ยว ท่ามกลางความคาดหมายว่าหิมะจะยังคงตกลงมาอย่างหนักบนเกาะเชจู และทางตะวันตกเฉียงใต้ของแหลมแห่งนี้ไปจนถึงวันพุธ (25 ม.ค.)

(ที่มา : ซีเอ็นเอ็น/บลูมเบิร์ก)


กำลังโหลดความคิดเห็น