กองทัพรัสเซียผนึกกำลังเสริมจากกลุ่มทหารรับจ้าง “วากเนอร์กรุ๊ป” ระดมโจมตีเมืองโซเลดาร์ หนักหน่วง เจ้าหน้าที่ยูเครนหลายรายยอมรับในวันอังคาร (10 ม.ค.) แล้วถึงแม้เซเลนสกี้ยืนยันว่า เมืองนี้ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของยูเครน ทว่า กระทรวงกลาโหมอังกฤษชี้ว่า มีความเป็นไปได้ว่า รัสเซียยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ได้แล้ว โดยเห็นกันว่าหากมอสโกตีเมืองนี้สำเร็จก็จะถือเป็นการทะลุทะลวงในภาคตะวันออกของยูเครนได้เป็นครั้งแรกในรอบหลายๆ เดือนที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการทหารของยูเครนยังเตือนว่า มอสโกกำลังเตรียมโจมตีครั้งใหม่ ซึ่งเป้าหมายอาจเป็นกรุงเคียฟ
ก่อนหน้านี้เมื่อวันจันทร์ (9) ฮันนา มัลยาร์ รัฐมนตรีช่วยกลาโหมยูเครน โพสต์บนแอปเทเลแกรม ว่า ก่อนหน้านี้กองทัพยูเครนได้ขับไล่กองกำลังทหารรับจ้าง วากเนอร์ กรุ๊ป ของรัสเซีย ที่พยายามโจมตีเมืองโซเลดาร์ ในภูมิภาคดอนบาส ศูนย์กลางอุตสาหกรรมทางภาคตะวันออกของยูเครน แต่กองกำลังเหล่านี้ย้อนกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมยุทธวิธีใหม่ๆ และทหารจำนวนมากขึ้นภายใต้การคุ้มกันของปืนใหญ่ ระบบจรวดหลายลำกล้อง และปืนครก
เมืองโซเลดาร์ เป็นเมืองเล็กๆ ที่มีอุตสาหกรรมบ่อเกลือ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองบัคมุต ซึ่งทหารของทั้งสองฝ่ายสู้รบกันอย่างหนักมาเป็นแรมเดือน โดยที่ในบางจุดมีลักษณะการรบกันแบบสงครามสนามเพลาะอันยืดเยื้อ ทั้งนี้ บัคมุต อยู่ตรงเส้นส่งกำลังบำรุงทางยุทธศาสตร์ระหว่างแคว้นโดเนตสก์ กับ แคว้นลูฮันสก์ สองแคว้นนี้เองที่รวมกันเป็นดอนบาส มองกันว่าหากควบคุม บัตมุต ได้แล้ว ก็จะทำให้รัสเซียสามารถรุกต่อไปยังอีก 2 เมืองใหญ่ ได้แก่ ครามาตอร์สก์ และ สโลเวียนสก์
กระทรวงกลาโหมรัสเซียไม่ได้กล่าวถึงโซเลดาร์ หรือ บัคมุต ระหว่างการแถลงข่าวปกติในวันจันทร์ หรือหนึ่งวันหลังจากถูกวิจารณ์ว่า กล่าวอ้างเท็จว่า ยิงขีปนาวุธโจมตีค่ายทหารชั่วคราวของยูเครนทำให้ทหารยูเครนตายไป 600 คน
ขณะที่ กลุ่มวากเนอร์ ก่อตั้งโดย เยฟเกนี พริโกซิน พันธมิตรของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และทหารรับจ้างบางส่วนเกณฑ์มาจากพวกนักโทษในเรือนจำรัสเซีย รวมทั้งยังเป็นที่รู้จักจากการใช้ความรุนแรงโดยไม่มีประนีประนอม
กลุ่มวากเนอร์ นั้นปฏิบัติงานอยู่ในแอฟริกา และเวลานี้มีบทบาทโดดเด่นในสงครามยูเครน
รอยเตอร์รายงานว่า พริโกซินพยายามใช้กลุ่มวากเนอร์ยึดเมืองบัคมุตและโซเลดาร์มานานหลายเดือนแล้ว ซึ่งสร้างความสูญเสียใหญ่หลวงทั้งสองฝ่าย และเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (7) เขากล่าวว่า โซเลดาร์ มีความสำคัญตรงที่ตั้งอยู่บนเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดินขนาดใหญ่ที่สามารถใช้ลำเลียงคนจำนวนมาก รวมถึงรถถังและอาวุธอื่นๆ
โอเลห์ ดานอฟ นักวิเคราะห์ด้านการทหารของยูเครน ระบุว่า การสู้รบในบัคมุตและโซเลดาร์ ตึงเครียดที่สุดในบรรดาแนวรบทั้งหมด แต่ทั้งสองฝ่ายต่างมีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นท่ามกลางอุณหภูมิติดลบ และเสริมว่า มีนักรบโปรรัสเซียจำนวนมากบาดเจ็บและล้มตายในสนามรบ
ในส่วนของประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี้ ของยูเครน กล่าวในการปราศรัยทางออนไลน์ที่เขาทำเป็นประจำทุกคืน เมื่อคืนวันจันทร์ว่า ยูเครนยังคงควบคุมบัคมุตและโซเลดาร์แม้ทั้งสองเมืองถูกทำลายราบคาบเป็นวงกว้างก็ตาม
ผู้นำยูเครนยังขอบคุณทหารในโซลดาร์ที่ช่วยให้ยูเครนมีเวลาและความแข็งแกร่งมากขึ้น
ทว่า เมื่อวันอังคาร (10) กระทรวงกลาโหมอังกฤษระบุว่า รัสเซียและกองกำลังทหารรับจ้างของวากเนอร์อาจควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในโซเลดาร์ได้แล้ว และมีแนวโน้มสูงว่า กองกำลังเหล่านี้อาจพยายามโอบล้อมบัคมุตจากด้านเหนือ และขัดขวางช่องทางการสื่อสารของยูเครน
เจ้าหน้าที่ยูเครนนำโดยผู้บัญชาการทหาร พลเอกวาเลรี ซาลุซนีย์ ยังเตือนว่า รัสเซียกำลังเตรียมโจมตีครั้งใหม่ ซึ่งเป็นไปได้ว่าเป้าหมายอาจเป็นกรุงเคียฟ
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ทางการทหารของยูเครน ออกมาอ้างว่า ผลประโยชน์ทางทหารในเชิงยุทธศาสตร์สำหรับรัสเซียในการยึดเมืองโซเลดาร์และบัคมุตอาจมีจำกัด
ทารัส เบเรโซเวตส์ ผู้สื่อข่าวและนักวิจารณ์การเมือง รวมทั้งยังเป็นเจ้าหน้าที่ในกองทัพยูเครน ระบุว่า การยึดเมืองโซเลดาร์ไม่ค่อยมีความสมเหตุสมผลมากนัก ยกเว้นแต่จะถือเป็นชัยชนะส่วนตัวของพริโกซิน และทำให้เข้ายึดบัคมุตได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ คนหนึ่งสำทับว่า พริโกซินเล็งเกลือและยิปซัมจากเหมืองในโซเลดาร์ ซึ่งเชื่อว่าครอบคลุมพื้นที่ใต้ดินระยะทาง 100 ไมล์และประกอบไปด้วยถ้ำที่มีขนาดใหญ่ๆ พอกับหอประชุม
ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายรัสเซียแถลงย้ำว่าการสู้รบขัดแย้งคราวนี้แท้จริงแล้วเป็นการสู้รบระหว่างรัสเซียกับพวกชาติตะวันตกที่แสดงตนเป็นศัตรูกับแดนหมีขาว
“เหตุการณ์ต่างๆ ในยูเครน ไม่ใช่เป็นการปะทะกันระหว่างมอสโกกับเคียฟ นี่คือการเผชิญหน้ากันทางทหารระหว่างรัสเซียกับนาโต้ ซึ่งเหนือกว่าอื่นใดทั้งหมดก็คือ สหรัฐฯและอังกฤษ” นิโคไล ปาตรูเชฟ เลขาธิการสภาความมั่นคงรัสเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตรสนิทใกล้ชิดของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน กล่าวในการให้สัมภาษณ์สื่อเมื่อวันอังคาร
“ฝ่ายตะวันตกวางแผนการที่จะดึงกลากรัสเซียให้แยกเป็นเสี่ยงๆ ต่อไป และในที่สุดแล้วก็ลบทิ้งรัสเซียออกไปจากแผนที่ทางการเมืองของโลก” ปาตรูเชส กล่าว
(ที่มา: รอยเตอร์, เอเอฟพี)