สหรัฐฯ เสนอมอบวัคซีนให้แก่ “จีน” เพื่อช่วยยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยระบุว่าหากสถานการณ์โควิดในแดนมังกรอยู่ในภาวะควบคุมได้ย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จีนจะยอมรับความช่วยเหลือจากประเทศไม้เบื่อไม้เมาอย่างสหรัฐฯ คงเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปักกิ่งเองก็ลงทุนมหาศาลไปกับนโยบายการทูตโควิด (covid diplomacy) ที่รวมถึงการส่งออกวัคซีนจีนไปยังประเทศอื่นๆ
“มันเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกประเทศจะต้องรณรงค์ให้ผู้คนได้ฉีดวัคซีน และทำให้การตรวจหาเชื้อและการรักษาเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่าย” เน็ด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนวานนี้ (20 ธ.ค.)
“สหรัฐฯ เป็นประเทศผู้บริจาควัคซีนรายใหญ่ที่สุดในโลก และเรายังคงพร้อมที่จะสนับสนุนผู้คนทั่วโลก รวมถึงจีน ด้วยวัคซีน และด้วยความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขอื่นๆ ที่เกี่ยวกับโควิด”
“นี่คือผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับทั่วโลกจริงๆ วัคซีนโควิด-19 ของเราทั้งปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ และเราได้จัดส่งมันให้หลายประเทศทั่วโลก โดยไม่ได้คำนึงถึงข้อขัดแย้งทางการเมืองใดๆ”
ไพรซ์ เตือนว่า จำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นในจีนซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก กำลังสร้างความสูญเสียทั้งในแง่ของทรัพยากรมนุษย์ และเศรษฐกิจ
“ไม่ได้สำคัญแค่กับจีนเท่านั้น แต่การที่จีนจะต้องคุมโควิด-19 ให้อยู่ยังส่งผลไปถึงการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของประชาคมโลกด้วย”
นับตั้งแต่พบการระบาดที่เมืองอู่ฮั่นเป็นแห่งแรกของโลกเมื่อปี 2019 รัฐบาลจีนมุ่งมั่นที่จะใช้นโยบายลดจำนวนคนติดโควิดให้เป็น “ศูนย์” ซึ่งรวมถึงการระดมตรวจเชื้อในคนจำนวนมาก และสั่งล็อกดาวน์พื้นที่ที่มีการพบผู้ป่วยอย่างเข้มงวด
กระแสความเคลื่อนไหวของชาวจีนในหลายเมืองที่ออกมาประท้วงต้านล็อกดาวน์ ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนตัดสินใจผ่อนมาตรการควบคุมโรคเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่แล้ว แต่สิ่งที่หลายฝ่ายกังวลคือ “ผู้สูงอายุ” ในจีนจำนวนมากที่ยังไม่เคยเข้ารับวัคซีน และเสี่ยงที่จะมีอาการป่วยรุนแรงหากติดโควิด
เจ้าหน้าที่ประจำฌาปนสถานต่างๆ ในจีนให้ข้อมูลกับเอเอฟพีว่า พวกเขาต้องเร่งทำงานแข่งกับเวลา เนื่องจากตัวเลขผู้เสียชีวิตในจีนกำลังเพิ่มสูงขึ้น
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) เมื่อเดือน มิ.ย. ระบุว่า วัคซีนซิโนฟาร์มของจีนมีประสิทธิภาพยับยั้งการป่วยหนักเข้าโรงพยาบาลได้ 79% เมื่อฉีดครบ 2 โดส ขณะที่วัคซีนของโมเดอร์นาและไฟเซอร์ที่ผลิตในสหรัฐฯ ลดความเสี่ยงป่วยโควิดรุนแรงได้ถึง 95%
ที่มา : เอเอฟพี